Wednesday, June 19, 2013

Women in IT

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พี่ได้ไปร่วมงาน TechEd ที่ New Orleans ซึ่งเป็นงาน conference ใหญ่ประจำปีของ Microsoft งานนี้จัดขึ้นทั้งหมดสี่วัน จัดที่ Ernest N. Morial Convention Center ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมใหญ่ของเมืองนั้น ภาพรวมของงานคร่าวๆก็คือมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ทำ Hands-on Lab และเข้าห้องเรียนเกี่ยวกับเรื่อง IT ต่างๆ ค่าเข้างานนี้แพงมาก มากกว่า $2,000 (บริษัทจ่าย 55) แต่ทาง Microsoft ก็ดูแลผู้ร่วมงานอย่างดี มีทั้งข้าวเช้า ข้าวกลางวัน และปาร์ตี้ปิดงานที่จัดที่สนามฟุตบอล Mercedes-Benz Superdome ซึ่งเป็นบ้านของทีมฟุตบอลของ New Orleans Saints นั่นเอง


June 2013 - TechEd 2013, New Orleans, LA


June 2013 - TechEd 2013, New Orleans, LA


จากการที่พี่ไปร่วมงานทั้งหมดสี่วัน พี่ได้สังเกตเห็นอะไรหลายอย่างที่อยากมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องที่เห็นเด่นๆคืองานนี้มีผู้หญิงน้อยมาก พี่กะดูแล้วน่าจะประมาณ 5% ของผู้ร่วมงาน น้อยมากจนพี่ไม่กล้าใส่เดรส เพราะกลัวเด่นเกิน 55 เดินไปไหนแทบไม่เห็นผู้หญิง บางครั้งก็รู้สึกเหงาแปลกๆ แต่ยังดีที่เวลาเดินสวนกัน พวกเรา(สาวๆ)ก็จะส่งยิ้มเล็กๆ สบตากันอย่างเป็นมิตรและเข้าใจกัน 55 คิดดูสิเวลาเราไปร่วมงานใหญ่ที่ไหน เช่นงานคอนเสิร์ต แถวหน้าห้องน้ำผู้หญิงจะยาวมาก ถ้าเทียบกับห้องน้ำผู้ชาย แต่งานนี้ห้องน้ำผู้หญิงโล่งค่ะ แทบไม่มีคน ห้องน้ำผู้ชายนี่สิแถวยาวออกมาข้างนอก และใน Class ที่เข้าไปฟังนั้นมีแต่ Instructor ผู้ชายทั้งนั้น พี่เพิ่งมาเห็น Instructor ผู้หญิงก็ Class สุดท้ายที่เข้าฟังก่อนเลิกงาน


June 2013 - TechEd 2013, New Orleans, LA


June 2013 - TechEd 2013, New Orleans, LA


ผู้หญิงในสายงาน IT นั้นนับว่าน้อยมากถ้าเทียบกับผู้ชาย อย่างในทีมพี่ มีทั้งหมด 7 คน มีพี่คนเดียวที่เป็นผู้หญิง ที่เหลือก็แมนๆกันทั้งนั้น และส่วนใหญ่ผู้หญิงจะไม่ค่อยมาทำงาน Technical เช่น พวกงานเขียนโค้ดอย่างที่พี่ทำ แต่จะไปดูแลพวก Project Management มากกว่า ซึ่งพี่เห็นตรงนี้แล้วก็ถูกใจ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงอย่างเราๆก็คุมผู้ชายอยู่ :)


แต่การที่เราเป็นชนกลุ่มน้อยนั้นก็มีข้อเสียเหมือนกัน ขนาดที่ว่าอเมริกานับว่าเป็นประเทศที่มีความเท่าเทียมทางด้านเพศแล้ว แต่พี่ก็ยังเห็นความต่างอยู่บ้าง พี่รู้สึกว่าผู้หญิงยังได้รับการยอมรับน้อยกว่าผู้ชายในสายงานนี้ ยกตัวอย่างเช่น ในคลาสสุดท้ายนั้นที่มี Instructor เป็นผู้หญิง พี่สังเกตว่าคนเดินออกจากห้องเรียนกันเรื่อยๆ เค้าคงหวั่นใจว่าเค้าจะสอนได้ดีเหมือน Instructor ผู้ชายรึเปล่า ซึ่งจุดนี้ต้องทำให้ผู้หญิงอย่างเราต้องพยายามถึงสองเท่า และอีกเรื่องที่สังเกตคือ พี่มักจะได้งาน “ง่าย” Copy – Paste หรืองานพวกสวยงาม ที่ไม่ค่อยมีคนในทีมทำ แต่พวกเด็กฝึกงาน กลับได้งานเขียนโค้ดหนักๆซะงั้น บางครั้งก็เบื่อเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำใจ เราต้องพยายามมากขึ้นและพิสูจน์ผลงานให้เค้าเห็น


ถึงสาวๆในสายงาน IT ทุกคน… “We Can Do IT!!” ค่ะ :D




Mellow tiger..

Tuesday, June 18, 2013

ข่าวร้ายและการเดินทางครั้งสุดท้ายในเดือนมิถุนา


























ลาออกสิ้นเดือนนี้เลยไม่คิดว่าจะได้ออกเดินทางไปไหนอีก
แต่จู่ ๆ สองวันนี้ก็ได้เดินทางไกลไปถึงพัทลุง
แถมยังได้ไปกันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งกองบรรณาธิการ
เพราะคุณพ่อของพี่ที่เรารักคนหนึ่งจากไปอย่างกะทันหัน

ถึงแม้จะเป็นการเดินทางที่อบอวลไปด้วยความโศกเศร้า
แต่ก็เป็นการเดินทางที่คุ้มค่า

กลับมาครั้งนี้เราได้คิดได้เห็นอะไรหลายอย่าง
นอกจากได้เห็นหัวใจที่รักและหวังดีของทุกคนที่มีให้กันในยามยาก
ยังได้เห็นว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นเหลือเกิน
และโลกนี้ก็มีความไม่แน่นอนอยู่มากมายเหลือเกิน
จนเราไม่อยากปล่อยเวลานาทีให้ผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ สิ่งที่ไม่ชอบใจ คนที่เราไม่รัก
อีกแม้แต่สักวินาทีเดียวเลย

ปล.
กลับมาถึงกลางดึกวันนี้ พรุ่งนี้เช้าไปทำงานต่อที่อีกจังหวัดหนึ่ง
ถึงพัทลุงจะไม่ใช่จังหวัดสุดท้าย แต่มันก็คือจังหวัดสุดท้ายที่ได้ไปกันพร้อมหน้า

ต่อจากนี้ไม่ได้ขึ้นเหนือลงใต้ด้วยกันอีก
แต่ทุกที่ที่ได้ไปด้วยกันมาจะอยู่ในใจไม่เปลี่ยนเลย


Patha V

Tuesday, June 11, 2013

เด็ก ๆ ของโลก












เด็ก ๆ พวกนี้เราเจอเมื่อครั้งเดินทางไปอำเภอคลองใหญ่  จังหวัดตราด
ดูลักษณะท่าทางแล้ว น่าจะเป็นเด็กจากประเทศเพื่อนบ้าน
เพราะเสื้อผ้าหน้าผมและภาษามันฟ้อง
อีกทั้งที่บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่
ก็ถือเป็นแหล่งหากินแหล่งใหญ่ของคนเขมรเลยทีเดียว

เราเข้าไปเล่นด้วยอยู่พักนึง บางคนก็คุ้นกล้องเป็นอย่างดี
ปรี่เข้ามาให้เราถ่ายรูปให้ พร้อมกับขอดูภาพในจอเป็นการใหญ่
ในขณะที่บางคนก็เขินอาย กลัวคนแปลกหน้า กลัวเครื่องมือแปลกหน้า
ยิ่งเราเข้าใกล้เขายิ่งออกห่าง
เราจึงทำได้เพียงแอบถ่ายไกล ๆ
จากนั้นเก็บกล้องแล้วเข้าไปเล่นด้วย
สานสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์-มนุษย์ โดยไม่ต้องมีเทคโนโลยีมาขวางกั้น

กลับจากการเดินทางครั้งนั้น
รวมทั้งประสบการณ์จากการเดินทางอีกหลาย ๆ ครั้ง
เราพบว่า
ความเป็นเด็ก
ไม่ว่าจะเป็นเด็กชาติใดภาษาใด
ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเจ้าหญิงเจ้าชายหรือยาจกยากจน
ก็ล้วนแล้วแต่มีความน่ารักบริสุทธิ์สดใส
อันเป็นเอกลักษณ์ของเด็ก
ที่ผู้ใหญ่คนใดก็พรากไปไม่ได้



Patha V

Sunday, June 9, 2013

Road To Chanthaburi






That Original Frippo

Tuesday, June 4, 2013

ไกลดวงตา ใกล้ใจ : การเดินไปสู่ระหว่างทาง



"หากเปรียบการเดินทางกับชีวิต... จุดหมายในชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่เราต้องไม่ลืมว่าเราใช้เวลากับระหว่างทางมากกว่าจุดหมาย ใครบางคนเคยบอกผมว่า จุดหมายเป็นเพียงที่ระลึกของการเดินทางเท่านั้น

มาถึงวันนี้ ผมคิดว่าสำหรับการเดินทางของชีวิต ถ้าเราเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง อย่างน้อยเราก็มีระหว่างทางเป็นที่ระลึกร่วมกัน"

-ไกลดวงตา ใกล้ใจ, สุดแดน วิสุทธิลักษณ์


แก่งก้อ ลำพูน, ธันวาคม ๒๕๕๕



ไกลดวงตา ใกล้ใจ
หนังสือที่ติดไปอ่านระหว่างเดินทางในสองสามวันนี้
ว่าด้วยการเดินทางและข้อเขียนของนักเรียนมานุษยวิทยา ๒ คน
ได้แก่อาจารย์สุดแดน วิสุทธิลักษณ์
และคุณแดง วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์

ทั้งสองคนจะผลัดกันมาเล่าเรื่องราวการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆคนละบท
โดยแต่ละคนก็มีสไตล์การเล่าที่แตกต่างกัน
อาจารย์สุดแดนเล่าเรื่องด้วยภาษาและถ้อยคำง่ายๆ
แต่มักจบเรื่องด้วยแง่คิดบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจเราไปอีกนาน
ส่วนคุณแดงมักเล่าเรื่องในเชิงนักเขียนสารคดี
ค่อนข้างขึงขัง จริงจัง เน้นรายละเอียดปลกย่อยมากมาย
แต่เมื่ออ่านจบเรากลับไม่รู้สึกถึงความแข็งเช่นสารคดีโดยทั่วไป
แต่กลับรู้สึกถึงความละมุนละม่อม ความงดงามอ่อนโยน
และมองเห็นแง่งามของการเดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือไกล

อ่านเล่มนี้นอกจากจะเหมือนได้ออกไปเดินทอดน่อง
พบปะผู้คนตามสถานที่ต่างๆด้วยตัวเองแล้ว
ยังได้ความรู้ในเชิงมานุษยวิทยา ชาติพันธุ์มาเป็นของแถม
แถมยังบอกตัวเองได้อย่างมั่นใจอีกด้วยว่า
การเดินทางของคนเรานั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่เพื่อค้นหาจุดหมาย
แต่เพื่อค้นหาระหว่างทาง


Patha V

Friday, May 31, 2013

คาราบาว :: เมดอินไทยแลนด์ | วณิพก | คนล่าฝัน | เสียงเพลงไม่มีวันตาย




เนื่องด้วยภาพยนตร์เรื่อง "ยัง'บาว" ได้เข้าฉายไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา คอลัมน์ Friday Playlist วันนี้จึงขอหยิบยกบทเพลงจากวงดนตรี country rock เลือดไทยวงนี้มาแนะนำ


อย่างที่รู้กันว่าคาราบาวก่อกำเนิดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์จากการรวมตัวสมาชิกปัจจุบันอย่างแอ๊ดและเขียว และอดีตสมาชิกอย่างไข่ที่เป็นทั้งผู้ตั้งและแนะนำให้แอ๊ดเข้ามร่วมวงแต่กลับไม่ได้ออกอัลบั้มร่วมกับคาราบาวเลยแม้แต่อัลบั้มเดียว และเมื่อได้กลับมาประเทศไทยวงคาราบาวก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่อีกหลากหลายคนและได้ร่วมตัวสร้างสรรค์ผลงานเพลงเพื่อชีวิตมาถึงทุกวันนี้


แม้จะไม่ได้เรียกว่าเป็นวงดนตรีโปรดของทั้งพ่อและแม่ แต่ทั้งคู่ต่างก็ชอบเปิดเพลงของวงคาราบาวฟังบนรถยามเมื่อต้องออกเดินทางร่วมกัน เราจึงได้ยินเพลงของคาราบาวมาหลายปีก่อนได้มารู้จักว่าวงดนตรีคาราบาวมีใครบ้างและโด่งดังแค่ไหน หนึ่งเพลงที่เรียกได้ว่าเป็นเพลงระดับตำนานของคาราบาวคือเพลงเมดอินไทยแลนด์ที่มีเนื้อหาแอบเสียดสีกระแสความนิยมวัฒนธรรมต่างชาติในสมัยนั้น เพลงนี้นอกจากจะมีเนื้อเพลงเป็นตัวชูโรงแล้ว การใช้ขลุ่ยไทยเป็นตัวนำในภาคดนตรียังช่วยเน้นย้ำให้เพลงนี้มีความเป็นเมดอินไทยแลนด์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


อีกหนึ่งเพลงที่เป็นที่รู้จักกันดีของชาวเพลงเพื่อชีวิตคือเพลงวณิพก เพลงที่ถ่ายทอดชีวิตของผู้พิการทางสายตาที่ออกมาร้องเพลงหากินเร่ร่อนตามท้องถนนซึ่งเป็นภาพที่เราทุกคนได้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ในส่วนของภาคดนตรีคาราบาวเลือกที่จะใช้จังหวะดนตรีสามช่าตัดอารมณ์เนื้อเพลงที่ฟังดูตัดพ้อ โดยรวมแล้วเพลงนี้จึงเป็นเพลงที่ฟังแล้วได้ความรู้สึกเข้าใจความคิดมิดมากกว่าความท้อแท้ต่อชีวิต


คนล่าฝันเป็นเพลงที่มีดนตรีสนุกสนานแต่ครั้งแรกที่เราได้ฟังกลับมีน้ำปริ่มตาเพราะด้วยเนื้อเพลงที่เตือนสติให้รู้ถึงสัจจธรรมอย่างแท้จริงว่าหยุดเมื่อไหร่ก็จบเมื่อนั้น หากมีแรงก็จงทำมันต่อไปแล้วสักวันความฝันที่ห่างไกลก็จะขยับเข้ามาใกล้เราเอง ทุกวันนี้เรายังคงฮัมเพลงนี้เลี้ยงแรงใจในวันที่รู้สึกว่าชีวิตมันยากลำบากเหลือเกิน


หนึ่งในเพลงที่เราชอบมากที่สุดและคิดว่ามันบ่งบอกถึงมิตรภาพที่แนบแน่นของสมาชิกในวงกับเสียงดนตรีในแบบคาราบาวได้ดีที่สุดคือเพลงที่ชื่อว่าเสียงเพลงไม่มีวันตาย เครื่องดนตรีไทยอย่างขลุ่ยถูกนำกลับมาบรรเลงในเพลงนี้อีกครั้งในช่วงต้นของเพลง ซึ่งนั่นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลในแบบคาราบาว พอเริ่มเข้ากลางเพลงจังหวะสามช่าที่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของวงคาราบาวได้ทำงานถ่ายทอดความสนุกสนานครึกครื้น และเพลงนี้จบด้วยท่อนสุดท้ายของเพลงด้วยประโยคที่ว่า "นี่คือเสียงเพลงหัวควาย ตราบชีพวางวายมิอาจพรากเราจากเพลง" บ่งบอกถึงความเป็นคาราบาวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี


นอกจากทั้งสี่เพลงที่แนะนำ ยังมีอีกหลายเพลงของคาราบาวที่เราชอบฟัง เช่น ทะเลใจ ที่ถูกนำไปร้องใหม่ไม่รู้กี่รอบ มหาลัย เพลงที่มีเนื้อหากระแทกใจนักศึกษาตกงาน และรวมถึง ลมพัดใจเพ เพลงรักที่ร้องโดยเฑียรี่ เป็นต้น





That Original Frippo

Wednesday, May 29, 2013

Internship

เนื่องจากเข้าช่วงซัมเมอร์แล้ว และเป็นช่วงที่เด็กฝึกงานเริ่มเข้ามาที่บริษัท พี่เลยจะขอเล่าเรื่องประสบการณ์ฝึกงานซะหน่อย...ปีนี้ในทีมของพี่มีน้องๆฝึกงานสองคน อายุ 19 และ 22 ปี การที่ตอนนี้มีน้องๆฝึกงานเข้ามาทำให้พี่ซึึ่งเมื่อก่อนเด็กที่สุดในทีมรู้สึกแก่ลงไปมาก ^^”

โปรแกรมฝึกงานของบริษัทพี่จะเริ่มในช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ยาวไปถึงอาทิตย์แรกของเดือนสิงหาคม รวมๆแล้วประมาณ 10 อาทิตย์ ในวันแรกที่ไปถึงก็จะมีการปฐมนิเทศเล็กๆ ซึ่งจะไม่เป็นทางการมากนัก โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลมาแนะนำความเป็นมาของบริษัท กิจกรรมที่เราจะทำ และเรื่องเอกสารต่างๆที่ต้องให้กับฝ่ายบุคคล เช่น ถ้าเป็นนักเรียนต่างชาติก็ต้องมีเอกสารที่เกี่ยวกับวีซ่านักเรียน เป็นต้น หลังจากนั้นก็มีการแจกข้าวกลางวัน ซึ่งตอนนี้จะมีทีมลีดเดอร์ หรือผู้จัดการของเด็กแต่ละคนมาร่วมกินข้าวด้วย เพื่อสร้างความสัมพันธ์กระชับมิตร ในจุดนี้หัวหน้าพี่ชอบเป็นพิเศษ ดี๊ด๊าทั้งวัน ว่าวันนี้ชั้นจะได้กินข้าวฟรี 55

พี่สังเกตว่าการฝึกงานที่บริษัทพี่ จะเน้นให้เด็กฝึกงานมีความรักในบริษัท เริ่มด้วยในวันแรก มีการล่อใจด้วยการแจกของ สมุด ปากกา กระบอกน้ำ (สำหรับพนักงานทั่วไป วันแรกไม่ได้ของแจกอย่างนี้นะจ๊ะ) และมีการโชว์พาวเวอร์พ้อยท์แสดงประวัติ ผลิตภัณฑ์ และความสำเร็จต่างๆของบริษัท นอกจากนั้นแล้วในระหว่างโปรแกรมฝึกงานทางฝ่ายบุคคล ก็จัดกิจกรรมให้ได้พบกับผู้บริหาร เช่นมีการกินข้าวกลางวันกับผู้บริหารทุกวันพฤหัส ก่อนจบโครงการก็มีการไปกินปาร์ตี้อย่างหรูที่ “คฤหาส” ของผู้บริหาร ขอใช้คำว่าคฤหาส เพราะมันเป็นบ้านบนเชิงเขาที่อยู่ในหมู่บ้านที่มีประตูกั้นเข้าออก และยามดูแลอย่างแน่นหนา พนักงานทั่วไปยังไม่เคยได้ไปกันเลย


Budweiser Brewery Tour - July, 2013


Budweiser Brewery Tour - July, 2013


นอกจากความรักในบริษัทแล้ว กิจกรรมต่างๆก็สร้างความสัมพันธ์ให้กับระหว่างเด็กฝึกงานกันเอง เช่นจะมีการทำกิจกรรมทุกบ่ายวันพฤหัส เช่นเล่นเกมส์ละลายพฤติกรรม และในวันศุกร์ อาทิตย์เว้นอาทิตย์ จะมีการทำกิจกรรมนอกสถานที่ เช่น ไปทัวร์ศูนย์ดาวเทียวของบริษัทที่ Wyoming ไปทัวร์โรงเบียร์ Budweiser แต่ที่เด็ดสุดคงต้องยกให้การไป 14er (อ่านว่า โฟร์ทีนเนอร์) ซึ่งเป็นการเดินขึ้นเขาที่สูงกว่า 14,000 ฟุต เริ่มเดินกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนบ่ายสอง เจ้ากิจกรรมเนี่ยแหละ ที่ทำให้ได้สนิทกับเพื่อนกันมากๆ (เหมือนที่คนอื่นว่าไว้ ว่ได้เห็นใจตอนจะเป็นจะตายเนี่ยเอง 55)


Mt. Greys, CO - July, 2013


จริงๆแล้วพวกกิจกรรมพวกนี้ถ้าเรามองอีกมุมนึง มันก็เป็นแผนการตลาดเพื่อโปรโมทภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัททางอ้อม ทำให้เวลาเราจบโปรแกรมไปแล้ว เราจะพูดถึงบริษัทในทางที่ดี และถ้าเราโชคดีได้ job offer หลังจากที่จบจากโปรแกรม ก็จะทำให้บริษัทได้บุคลากรที่มีความรักองค์กรมากขึ้น อันนี้ถ้าให้เปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกงานที่บริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่งของไทย มันมีความต่างตรงที่พอจบจากโครงการฝึกงาน กลับไม่มีความอยากทำงานที่นั้น เพราะได้เห็นและรู้สึกได้ถึงความกดดันและความเครียดในการทำงาน แต่สิ่งที่ได้ไม่ต่างกันก็คือเพื่อนที่ได้จากการฝึกงานนั่นเอง




Mellow tiger..

Tuesday, May 28, 2013

ดอกไม้นอกสวน : “การเดินทางและเวลา นำมาซึ่งผู้คนในความทรงจำ”










หน้า ๓๓
“มาเรียที่รักของผม ความฝันทำให้เราอยู่ได้ มันทำให้หัวใจของผมเต้นเร้าอย่างมีความสุขเมื่อได้พูดถึงสิ่งที่ฝัน แต่มันไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเราต้องจมอยู่กับความฝันดอกนะ ตรงข้ามเสียอีก สำหรับผม มันเป็นหนึ่งในสามสิ่งที่ทำให้มีความสุข คุณและลูกๆ ความฝันของผม และฟลาเมงโก”


หน้า ๔๒
“แปลงดอกไม้ของฉันเติบโต ในที่สุดต้องขยับขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไป  อ้อ... ฉันไม่มีลูกสาวคอยช่วยเหลือ ไม่ต้องพูดถึงคนสวนดอกนะ เพราะค่าจ้างแพง  ลูกชายของฉันทั้งสองคนและสามีของฉันต่างหาก พวกเขาเป็นกำลังสำคัญทั้งรดน้ำ พรวนดิน ลงกล้า ตัดแต่งกิ่ง

วันแรกที่พวกเขาลงแปลงปลูกต้นไม้ดอกไม้ เป็นภาพสวยงามที่สุด งดงามกว่าความรู้สึกเมื่อตอนได้ยินข่าวกำแพงเบอร์ลินพังแล้ว สหภาพโซเวียตล่มสลาย

วันนั้นฉันร้องไห้ และยืนอยู่ตรงธรณีประตู เป็นความรู้สึกต่างจากการร้องไห้ในวันที่พวกเขาเดินออกไปจากประตูเดียวกันนี้เพื่อไปทำสงคราม”


หน้า ๔๓
“สามีของฉันเคยพูดว่า บางทีเขาก็คิดเหมือนกัน ว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี ที่เอาดอกไม้ไปวางไว้บนหลุมศพ เพราะคนตายไม่ได้เห็น ไม่ได้กลิ่น แต่ก็อีกนั่นแหละ ดอกไม้บนหลุมศพทำให้ความตายไม่แข็งกระด้าง ไม่โหดร้ายเกินไปสำหรับสามีหรือภริยาหรือลูกหลานของผู้เสียชีวิต”


หน้า ๖๔
“ความจริงเมื่อมาทำเกสต์เฮ้าส์ เราสัมผัสความตื่นเต้น อันเกิดจากการพบและการลาจากมากกว่าตอนออกเดินทางด้วยตัวเองเสียอีก คุณคิดว่าเราเฉยชินกับความรู้สึกลาจากน่ะหรือ เปล่าเลย จริงอยู่มันอาจไม่พิเศษเหมือนกันทุกคน แต่ผมอยากบอกว่า ความรู้สึกดีๆกับใครบางคนที่เดินเข้ามาในประตูบานนั้นและจากออกไปภายนอกกรอบประตูบานเดียวกัน มันเหมือนกับการได้อ่านหนังสือดีๆเล่มหนึ่งเลยทีเดียว และคุณย่อมคิดถึงหนังสือเล่มนั้นอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่ง"


หน้า ๖๕
“เราสองคนได้เป็นพยานรักของหนุ่มสาวนักเดินทางไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่ แครอลบอกว่า เกสต์เฮ้าส์ของเราเป็นมากกว่าที่พักแรมทาง บางทีเป็นโบสถ์ให้คนได้มาสารภาพความในใจ และเป็นรวงรังที่ความรักของคนสองคนฟูมฟักและเติบโต พร้อมกันนั้นสำหรับบางคน มันอาจเป็นเวทีการแสดงที่คนหลายคนและหลายคู่ เมื่อลงไปแล้วก็ห่างหายไปไม่มีการติดต่อกันอีกเลย ขณะที่บางคนกลับขึ้นเวทีการแสดงแห่งนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง...”


หน้า ๘๔
“คนหนุ่มสาวจะไปรู้จักความเหงาหรือว้าเหว่ได้อย่างไร และถ้าพวกเขาเรียกการอยู่คนเดียวโดยไม่มีคู่ไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวรว่าเป็นความเหงาแล้วละก็ ฉันว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้ามากกว่า รออีกห้าสิบปีเถอะ ความเหงาจริงๆกำลังรออยู่...

สำหรับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอ วันรุ่งขึ้นหมายถึงคนรักใกล้กลับมาสู่อ้อมกอดแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนชุดใหม่สักที ได้เวลาออกไปพบหรือไปเที่ยวกับเพื่อนพ้องหน้าใหม่

แต่สำหรับคนแก่ วันรุ่งขึ้นมันหมายถึง... คนรุ่นเดียวกัน เพื่อนหรือคนที่เรารู้จักคุ้นเคย ลดจำนวนเหลือน้อยลงทุกวัน พวกเขาจากไป ไม่ใช่แค่ชั่วโมงหนึ่ง วัน สัปดาห์ ปี หรือยี่สิบปี แต่เป็นการจากอย่างถาวร ไม่รู้ว่าจะพบกันอีกไหม และส่วนใหญ่ไม่มีวันได้พบกันอีก”


หน้า ๙๕
“ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองแก่ แต่รู้ว่า อายุมากแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันพยายามบอกคนที่มองและแสดงความรู้สึกสงสาร เห็นอกเห็นใจผ่านใบหน้าและแววตาเวลาที่พวกเขามองมา มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาหรอก แต่คนแก่ไม่ได้เศร้าโศกทุกคน ไม่ว่าคนนั้นแวดล้อมอยู่ด้วยคนรู้จัก คนใกล้ชิด หรืออยู่ตัวคนเดียวในบ้านพักคนชรา

ฉันสุขกับชีวิตที่มีอยู่ แน่ล่ะยังคิดถึงวัยหนุ่มสาวบ่อยๆ และยิ้มให้วันเวลาพวกนั้น แต่ไม่เคยอิจฉาคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่เคยแม้อยากกลับไปใช้ชีวิตในวัยนั้นอีก ฉันเชื่อว่า แต่ละช่วงชีวิตมีความสวยงามของมันอยู่ สั้นบ้างยาวบ้าง อย่างเช่น คนในวัยของเธอ ย่อมมีความสุขในแบบที่คนในวัยหนุ่มสาวยังไม่สัมผัส และคนแก่ชราได้แต่ระลึกถึง”


หน้า ๑๑๓
“ผมไม่รู้หรอกว่าการเดินทางคืออะไร แต่การเดินทางไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งอะไรเลย การค้นหาจิตวิญญาณนั้น อยู่ในถ้ำบรรลุถึงธรรมง่ายกว่า

การเดินทางไปไหนมาไหนของพวกเรา คือไปหาเพื่อน ไปเยี่ยมญาติ ไปเรียนหนังสือ ไปงานในพิธีศาสนา ร่วมแสดงความยินดีกับคนแต่งงาน ไปร่วมแสดงความเสียใจในงานศพ เราไม่เดินทางไปไหนไกลๆ เพื่อไปเล่นน้ำทะเล ไปอาบแดด หรือไปหาความสุข ก็อย่างที่บอกไง ทุกอย่างอยู่กับเราที่นี่หมดแล้ว”


จบเล่ม
ดอกไม้นอกสวน ของภาณุ มณีวัฒนกุล
ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางเช่นบันทึกการเดินทางเล่มอื่นๆ
แต่เล่าแทนเสียงของผู้คนที่ผู้เขียนได้ผ่านพบขณะเดินทาง
บางคนคือแม่ บางคนคือเมีย บางคนคือลูกสาว
แต่อีกมากก็คือคนเป็นพ่อ คนหนุ่ม สามี และลูกชาย
ภาณุต้องการบอกเราว่า คนทุกคนต่างเป็นดอกไม้
เพียงแต่มีลักษณะรูปทรงแตกต่างกันออกไปตามเหตุและปัจจัยต่างๆ
และการอยู่ร่วมกันอย่างแตกต่างหลากหลายนี้ก็ทำให้สวนที่ชื่อว่าโลกงดงาม 

จบเล่มแล้ว เราได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า
การเดินทางนั้นมิใช่การเดินทางทางกายภาพเพียงอย่างเดียว
แต่ยังรวมถึงการเดินทางภายในจิตใจของเราเอง
การเดินทางไปในความคิดคำนึงอันไม่มีที่สิ้นสุด
การเดินทางไปตามตัวเลขอายุที่เพิ่มมากขึ้นวันแล้ววันเล่า
หรือแม้แต่การออกจากบ้านไปหาเพื่อน ไปเยี่ยมญาติ ไปเรียนหนังสือ
เราก็เรียกมันว่าการเดินทางแล้ว
ตราบใดที่เรายังได้อะไรบางอย่างกลับมาจากการก้าวออกไปครั้งนี้


Patha V

Friday, May 24, 2013

Jana Kramer :: I won't give up | Why ya wanna | Goodbye California | One of the boys




เดิมทีเรารู้จัก Jana Kramer จากบทบาทของ Alex Dupre หนึ่งในตัวละครจากซีรีย์เรื่อง One Tree Hill ที่เราโปรดปรานเป็นที่สุด ฉากหนึ่งในซีซั่น 8 เธอได้ร้องเพลง I won't give up ซึ่งเป็นเพลงปรโมตเพลงแรกในฐานะนักร้อง และนั่นทำให้เรารู้ว่า Jana Kramer ไม่ได้มีเสน่ห์ในการแสดงเพียงอย่างเดียวแต่เธอยังมีน้ำเสียงที่มีเสน่ห์อีกด้วย


เพราะเพลง I won't give up เป็นเพลงมีท่วงทำนองและเนื้อร้องที่ติดหูตามแบบฉบับเพลง pop ทั่วไป เราจึงตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่า Jana เลือกที่จะทำเพลง country แต่เมื่อได้กลับไปฟังเพลง I won't give up อีกครั้งเรากลับเข้าใจในตัวตนของเธอมากขึ้นว่าเหตุใดถึงเป็น country หากไม่ติดภาพสาวมั่นในบทบาทของ Alex Dupre เราว่า Jana Kramer คนนี้มีความเป็นสาว country แบบธรรมชาติสุดๆ เลยล่ะ


เสียงของ Jana ที่ร้องไว้ในเพลง I won't give up มีความเป็น country นิดๆ ตรงหางเสียงที่ลากยาวในแต่ละท่อน และทุกอย่างชัดเจนขึ้นในเพลง Why ya wanna เพราะโทนเสียงที่เป็น country อันทรงพลังของเธอได้บอกทุกอย่างไว้หมดแล้ว ประกอบกับภาคดนตรีที่มีเครื่องสายเข้ามาช่วยทำให้นักฟังเพลง country folk อย่างเราเพลิดเพลินไปกับกลิ่นอายความเป็น country มากยิ่งขึ้น


ล่าสุดกับเพลง Goodbye California ที่เพิ่งได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่เราชอบฟังเวลาเดินทาง อาจจะเพราะเป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับการจากลาที่ใดที่หนึ่ง มีทำนองที่น่ารักและสนุกสนาน  ถึงแม้ภาคดนตรีของเพลงจะออกไปทาง pop ค่อนข้างมาก ใกล้เคียงกับเพลงของ Taylor Swift เสียเหลือเกิน แต่เรากลับมองว่าด้านภาคเนื้อเพลงยังคงอยู่ในลักษณะของเพลง country ที่เขียนเล่าเป็นเรื่องราวเป็นลำดับขั้นตอน โดยเพลงนี้มี California เป็นพระเอก


และเพลงสุดท้ายของวันนี้คือเพลงสนุกๆ อย่างเพลง One of the boys ถึงแม้จะเป็นเพลงที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร แถมยังประดับด้วยความธรรมดาทั้งเนื้อเพลงและดนตรี แต่เรากลับชอบการใช้เสียงของ Jana ในเพลงนี้มากโดยเฉพาะท่อนฮุคที่ลดความเป็น country ลงและเพิ่มความสดใสในน้ำเสียงให้เข้ากับความสนุกสนานของเพลงมากขึ้น ฟังแล้วรู้สึกลื่นหูดี แถมฟังไปฟังมาเพลงนี้ทำให้เรานึกถึงเสียงของ Shania Twain ซึ่งเป็นนักร้องเสียงดีอีกหนึ่งคนที่เราชื่นชอบอีกด้วย





That Original Frippo

Wednesday, May 22, 2013

Commencement


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พี่ได้ไปงานรับปริญญาของเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยที่พี่เคยเรียน (มหาวิทยาลัยในดาวทาวน์เดนเวอร์) รับปริญญารอบนี้มีเพื่อนจบกันหลายคนทั้งเพื่อนคนไทยและต่างชาติ ถ้าเป็นรอบก่อนๆจะมีนักเรียนไทยจบกันเยอะมาก แต่ตั้งแต่ปีที่แล้ว มีคนไทยมาเรียนที่นี่น้อยลงเรื่อยๆ ไม่รู้เพราะกระแสไปเรียนที่อังกฤษกำลังบูมหรือว่ายังไง รอบนี้เลยมีเพื่อนคนไทยที่พี่รู้จักจบแค่คนเดียว



Fall Commencement - December, 2012


การรับปริญญาในมหาวิทยาลัยที่อเมริกานั้นแบ่งเป็นสองรอบ คือ รับตอนจบภาคเรียน Spring Semester (ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม) และ Fall Semester  (ประมาณกลางเดือนธันวาคม) ต่างจากบ้านเราตรงที่ ไม่ต้องรอรู้ผลว่าจะจบรึเปล่าก็สามารถเดินเข้ารับปริญญาได้ทันที แต่จะได้ใบจริง ซึ่งจะส่งจดหมายไปที่บ้านในอีกสองสามเดือนหรือไม่ก็ค่อยว่ากันอีกที และพิเศษอีกตรงที่ถ้าสมมตินักเรียนกำลังจะจบในซัมเมอร์ ก็สามารถเดินรับในช่วง Spring ได้ ซึ่งพี่ก็ทำอย่างนั้น เพราะพี่อยากให้พ่อแม่มาในช่วงที่อากาศกำลังอุ่น พี่เลยรับปริญญาก่อนจบจริง ถ้าจะไปรับช่วงเดือนธันวา พ่อกับแม่พี่คงสู้อากาศหนาวที่นี่ไม่ไหวแน่ๆ



Spring Commencement - May, 2012


Spring Commencement - May, 2012


อีกเรื่องที่ต่างจากงานรับปริญญาที่ไทยคือ ความเรียบง่ายของงาน ที่นี่จะไม่มีการซ้อมใหญ่ซ้อมย่อยใดๆทั้งสิ้น รับวันจริงวันเดียวจบ ไม่มีการแต่งหน้าทำผมฉูดฉาด งานเป็นกันเอง ขนาดที่ว่าเด็กบางคนใส่รองเท้าแตะ ขาสั้นใต้เสื้อครุย และหลังจากรับปริญญานั้นก็มีการแสดงท่าทางดีใจในแบบฉบับของตัวเอง ใครอยากเต้น อยากเอากากเพชรประดับหมวกรับปริญญาก็ทำกันได้ตามใจชอบ

ความต่างตรงนี้เองนี้ทำให้การรับปริญญาที่ไทยและที่นี่มีเสน่ห์ต่างกันไป เช่น งานรับปริญญาที่ไทยซึ่งเป็นงานพิธีการ ถ้าจะให้เด็กนักเรียนมาทำตัวตามใจชอบแบบนี้ก็ไม่เหมาะ แต่เพราะความเป็นพิธีการ มันทำให้งานดูศักดิ์สิทธิ สร้างความภูมิใจให้กับนักเรียนและครอบครัว ที่ฝ่าฟันกับการใช้ชีวิตนักเรียน (สำหรับพ่อแม่ คงต้องใช้คำว่า ใช้เวลาเคี่ยวเข็ญ) ถึงสิบกว่าปี ส่วนงานรับปริญญาที่นี่ มันก็มีเสน่ห์ตรงที่มีความสนุกสนาน นักเรียนสามารถปลดปล่อยความเครียดได้เต็มที่ แต่ที่ไม่ต่างกันเลยก็คือความภูมิใจ ปลาบปลื้มของตัวเราเองและของพ่อแม่ ไม่ว่าไปงานรับปริญญาที่ไหน ถ้าจะให้เปรียบเทียบ มันก็คงเหมือนไปงานแต่งงาน ที่เรารู้สึกได้ถึงความรักลอยอยู่ในอากาศ งานรับปริญญาก็เช่นกัน พี่จะรู้สึกได้ถึงความสุข ความภาคภูมิใจของพ่อแม่ลอยอบอวลอยู่ในอากาศด้วย

แต่ถึงงานรับปริญญาจะมีความต่าง แต่เด็กไทย (และเด็กเอเชีย) ก็ยังถ่ายรูปไม่ยั้งกันเหมือนเดิม เด็กนักเรียนอเมริกันสู้ไม่ได้เลยทีเดียว 55






Mellow tiger..

Thursday, May 9, 2013

Taking a Bus


ในบล๊อกแรกๆ พี่เคยเล่าเรื่องการจราจรของ Denver อาทิตย์นี้พี่เลยขอมาเล่าเรื่องระบบขนส่งมวลชนของที่นี่บ้าง

ช่วงแรกๆ ประมาณปีครึ่งที่พี่อยู่ที่นี่ พี่ก็ไม่ได้ไฮโซมีรถขับอย่างเช่นทุกวันนี้ ไปไหนมาไหนเลยต้องใช้บริการขนส่งมวลชน ทั้งรถเมลล์และรถไฟฟ้า ถึงแม้จะลำบาก แต่ก็มีข้อดีคือมันทำให้พี่เป็นคนที่จำถนนหนทางที่นี่แม่นมาก ไปไหนมาไหนรู้หมด ว่ามันอยู่ทิศไหนของตัวเมือง ใครไปไหนที่นี่กับพี่ ไม่ต้องกลัวหลงแน่นอน  :)


ทิปจากพี่สาว: เวลาอยู่ในตัวเมืองเดนเวอร์ ถ้ามองไปทางไหนแล้วเห็นภูเขา ทางนั้นคือทิศตะวันตกค่ะ


ระบบขนส่งที่นี่ดำเนินการโดย RTD (Regional Transportation District) ซึ่งจะคล้ายๆกับ"ขสมก"บ้านเรา  RTD จะดูแลทั้งหมด ไม่ว่าเป็นรถประจำทางในเมือง รถระหว่างเมือง และรถไฟฟ้า (หรือเรียกว่า Light Rail) การมีบริษัทเดียวนี่เองที่ทำให้การเดินทางที่นี่สะดวก และเป็นระบบที่ดีมาก เช่น ตั๋วโดยสาร สามารถใช้เปลี่ยนไปขึ้นรถอีกสาย หรือเปลี่ยนจากรถเมลล์ไปรถไฟได้ฟรีหรือจ่ายเพิ่มในราคาที่ถูกลง เป็นต้น และอีกเรื่องที่ต้องขอชมก็คือ ที่นี่เค้ามีการให้ข้อมูลกับผู้โดยสารได้ดีมาก เช่น เราสามารถเข้าเว็บของเค้า www.rtd-denver.com เพื่อที่จะเช็คเวลาเดินรถ และสามารถให้ทางเว็บวางแผนการเดินทางให้เราได้ด้วยว่าเราจะขึ้นรถเมล์จากไหนไปไหน ต้องนั่งรถเมล์หรือรถไฟสายไหน อีกทั้งยังมีแผนที่แจกให้บนรถเมลล์ว่า รถเส้นนี้เดินทางไปไหน จะถึงป้ายไหนกี่โมง ที่ประทับใจสุดๆคือที่ป้ายรถเมล์ทุกป้าย จะมีเลขประจำป้าย ซึ่งเราสามารถใช้เจ้าเลขนี้ เข้าไปเช็คที่เว็บไซต์หรือโทรไประบบตอบรับอัตโนมัติเพื่อเช็คเวลาที่รถเมล์สายนั้นจะมาถึงที่ป้ายได้อีกด้วย



Littleton, CO - September 12, 2010



รถประจำทางและรถไฟฟ้าที่นี่ สะอาดและไม่เบียดเสียดเหมือนบ้านเรา และไม่มีกระเป๋ารถเมล์ โดยเราจะโชว์บัตรให้คนขับดูหรือจ่ายเงินกับเครื่องรับเงินตอนเราเดินขึ้นรถ พอถึงป้ายก็กดกริ่งหรือดึงเชือกที่อยู่ใกล้กับหน้าต่างเพื่อบอกคนขับว่าเราต้องการลง หรือถ้าเป็นรถไฟฟ้า เราต้องซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติก่อนขึ้น พอขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้มีการเช็คว่าเราซื้อตั๋วหรือไม่ โดยใช้ระบบเชื่อใจกันมากกว่า แต่ก็มีพนักงานเดินสุ่มตรวจเป็นสายๆ ถ้าใครไม่ได้ซื้อตั๋วก็โดนใบสั่งกันไป และอีกเรื่องที่พี่ประทับใจ คือ การให้บริการกับคนพิการ ยกตัวอย่างเช่น บันไดตรงทางขึ้นรถเมลล์ สามารถยื่นออกมากลายเป็นทางลาดให้รถเข็นคนพิการขึ้นไปได้ และมีโซนสำหรับล๊อครถเข็นโดยเฉพาะ และถ้าคนขับเห็นคนตาบอดยืนรอรถอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ต้องจอดที่ป้าย แล้วคนขับต้องแจ้งให้เค้าทราบว่า สายรถเมล์นั้นคือสายไหน และกำลังจะไปไหน เพราะระบบดีๆอย่างนี้นี่เอง พี่จึงไม่แปลกใจเลยที่เห็นคนพิการที่นี่ แม้แต่คนตาบอด สามารถพึ่งตนเองและอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่เป็นภาระของคนอื่น พี่อยากให้บ้านเราเอาไปใช้บ้าง คนพิการที่บ้านเราจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องไปไหนมาไหนลำบากอย่างนี้



Denver, CO - September 12, 2010


ที่นี่รถเมล์และรถไฟฟ้ามีการให้บริการเป็นตารางเวลาที่แน่นอน เช่น ทุกครึ่งชั่วโมง หรือทุกหนึ่งชั่วโมง สายที่ไม่มีคนใช้ก็จะให้บริการแค่จันทร์ถึงศุกร์ และไม่ได้ให้บริการดึกๆดื่นๆเหมือนบ้านเรา นอกจากเป็นสายที่ผ่านดาวทาวน์ ซึ่งจะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง การที่ให้บริการตรงเวลาอย่างนี้ ข้อดีก็คือเราสามารถวางแผนได้ชัดเจนว่าเราจะไปถึงที่หมายเมื่อไหร่ แต่ข้อเสียคือถ้าเราพลาดไปเราต้องรอไปอีกครึ่งชั่วโมง ช่วงที่พี่เรียนโทใหม่ๆ พี่ต้องนั่งรถแล้วต่อรถเมลล์เพื่อกลับบ้าน รถไฟฟ้าถึงสถานีช้าแค่ 2 นาที ทำให้พี่ขึ้นรถเมลล์ไม่ทัน ต้องยอมทนเดินกลับบ้านที่อุณหภูมิติดลบต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ตอนนั้นเดินไปน้ำตาซึมไป ทั้งหนาวทั้งเหนื่อย คิดถึงรถเมลล์บ้านเราที่มาทุก 5 นาทีมากๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่สู้รถเมล์บ้านเราไม่ได้เลย 55


Mellow tiger..




ปล. ช่วงนี้พี่สติแตกค่ะ วีซ่าทำงานอาจจะไม่ผ่าน ถึงบ่นว่าคิดถึงบ้านบ่อยๆแต่พี่ยังไม่อยากกลับ ยังได้ประสบการณ์ที่นี่ไม่คุ้มเลย > <”

Sunday, May 5, 2013

The Sister Journey Finale







That Original Frippo

Tuesday, April 30, 2013

ความสุขบนเส้นทางที่เลือก



ความสุขบนเส้นทางที่เลือก




กล้า
บางประโยคใน "กุหลาบที่หายไป" บอกว่า
"มีแต่คนที่กล้าก้าวออกมาจากสิ่งที่ดีเท่านั้น ที่จะได้สิ่งที่ดีกว่า"
ส่วนเราบอกตัวเองว่า
เราจำเป็นจะต้องเสียบางอย่างเพื่อที่จะได้บางอย่างมา
ชีวิตอยู่ที่การเลือก
ใช่, ชีวิตอยู่ที่การเลือก
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เราต้องเลือก
เพียงแค่กล้าที่จะเลือกเท่านั้น


เลือก
เราเคยตัดสินใจออกจากงานเก่า
บางช่วงขณะที่เคว้งคว้างไร้จุดหมาย
เรากล่าวโทษตัวเองที่ไม่อดทน
แต่สุดท้ายการออกมาก็ทำให้เราได้พบเจองานใหม่ที่ถูกใจยิ่งกว่า
เราตัดสินใจที่จะทำงานที่ทำให้เราต้องร้องไห้ทุกวันต่อไป
เราตั้งคำถามต่อตัวเองหลายครั้ง ถามหาเหตุผลที่ยังทนอยู่ แต่ไม่เคยตอบได้
ญาติพี่น้องไม่ยอมรับ หลายคนไม่เข้าใจ
แต่วันหนึ่งเรากลับได้นำประสบการณ์จากการทำงานที่นั่น
มาเป็นข้อมูลในการตอบคำถามของกรรมการ
จนเราสอบผ่านได้เป็นนักเรียนทุนอย่างวันนี้


ดี-ไม่ดี
หลังจากต้องตัดสินใจเลือกทางเดินให้ตัวเองมาหลายครั้ง
เราคิดเหมาเอาเองว่า
การเลือกทุกอย่างไม่มีถูก ไม่มีผิด ไม่มีดี ไม่มีไม่ดี
การเลือกคือสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว
ทุกครั้งที่เราเลือก จึงไม่ใช่การชี้ชะตาให้ชีวิตว่า
เรากำลังเดินไปสู่ทางที่ถูก หรือกำลังมุ่งหน้าไปสู่ทางที่ผิด
เราเพียงแต่เลือกทางนี้ - ทางที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้น


ความสุข
ครูเคยบอกว่า
"ความถูกต้องเหมาะสมนั้นอยู่ที่ไหน
ก็อยู่ที่ความสุขเป็นสำคัญ
เมื่ออยู่และทำงานอย่างมีความสุข
นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเริ่มต้น"
วันนี้
คงถึงเวลาเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้ตัวเองแล้วกระมัง


Patha V

Thursday, April 25, 2013

Getting Sick


พี่ขอโทษด้วย ที่อาทิตย์ที่แล้วหายไป สุขภาพกายและใจย่ำแย่มากอาทิตย์ที่แล้ว พี่หวังว่ามันคงเป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดของปี 2556 และหวังว่าเรื่องร้ายๆที่ผ่านไปแล้วนั้นจะไม่กลับมาอีกแล้วในปีนี้... ว่าด้วยเรื่องสุขภาพกายย่ำแย่ อาทิตย์ที่แล้วพี่ป่วยทั้งอาทิตย์ พี่ก็เลยได้หัวข้อเรื่องเล่า(บ่น)ของอาทิตย์นี้คือเรื่องระบบสุขภาพของประเทศอเมริกา

ในคืนวันอาทิตย์ในช่วงสงกรานต์นั้นพี่ก็ป่วย แต่ไม่ได้เป็นไข้เหรือปวดหัว แต่เป็นโรคที่โหดกว่านั้นคือ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ พี่เริ่มมีอาการตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ ตอนที่พี่นั่งเล่นเกมส์พี่อยากเข้าห้องน้ำมาก แต่ก็อั้นไว้ก่อนเพื่อที่จะเล่นให้จบเกมส์ (ค่ะ ต่อว่าพี่มาเลย พี่ป่วยเพราะอั้นฉี่ตอนเล่นเกมส์ - -“) ถ้าจะให้เห็นภาพ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกำลังดึงเชือก ดึงจนเชือกขาดแล้วไม่มีความรู้สึกไปเลย พี่เคยเป็นโรคนี้เมื่อสามปีที่แล้ว อาการคือจะปวดฉี่บ่อยมาก และเหมือนฉี่ไม่สุด และพอฉี่เสร็จจะมีอาการปวดแสบบริเวณปลายท่อปัสสาวะ ทรมานมากๆ พอกลางดึกคืนนั้น พี่ก็เริ่มมีอาการ แล้วพี่ก็รู้ตัวว่าโดนเจ้าโรคนี้มันกลับมาคุกคามอีกแล้วแน่ๆ

วันจันทร์พี่ไปทำงาน อาการนั้นก็ยังไม่หายไปไหน และเริ่มแย่ลงหลังจากพักเที่ยง พี่เริ่มเข้าห้องน้ำทุกสิบห้านาที และพอตกเย็น พี่เริ่มเห็นเลือดเป็นลิ่มๆออกมากับฉี่ รู้ตัวว่าไม่อยากไปหาหมอแและคงไปหาหมอไม่ทัน (จะเล่าให้ฟังทีหลังว่าทำไมไม่อยากไปหาหมอ) พี่เลยทำการรีเซิสและอ้างอิงจากกูเกิ้ลได้ว่าคนเป็นโรคนี้ให้ดื่มน้ำเยอะๆและให้กินยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบที่บ้านเรากินกันเวลาเจ็บคอ แต่ที่นี่ยานั้นหายากเพราะต้องให้หมอจ่ายเท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้เองจากร้านขายยาเหมือนบ้านเรา วันนั้นทั้งวันพี่ก็เลยดื่มน้ำไปประมาณสี่ – ห้าลิตร (เรียกว่าสูบน้ำเข้าไปเลยดีกว่า) โชคดีที่เพื่อนคนไทยมียาแก้อักเสบ พี่เลยจะไปเอายาที่เค้าหลังจากเลิกงาน (เนื่องจากไม่ไปหาหมอกูเกิ้ลเลยเป็นทางออกของพี่ในการวินิจฉัยโรค - -“)

แล้ววันนั้นไม่รู้ซวยอะไรไม่รู้ พายุหิมะเข้าเดนเวอร์ สิ่งที่พี่ห่วงที่สุดคือตอนขับรถกลับบ้าน ถ้าอากาศแย่อย่างนี้มันอาจใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วพี่จะไปฉี่ที่ไหน - -“ วันนั้นพี่เลยตัดใจไม่ใช้ Highway ไปใช้ถนนเส้นข้างล่างแทน โชคดีของพี่ ที่พี่ถึงบ้านภายในเวลาแค่สิบห้านาที แต่พอถึงบ้านพี่ไปฉี่อีกครั้ง ฉี่ที่ตอนแรกเป็นสีใสๆปกติแต่ปนกับลิ่มเลือก ได้ออกมาเป็นสีแดงชมพู ซึ่งมันเป็นฉี่ปนกับเลือด เวลานั้นคิดจะไปหาหมอก็คงไม่ทันแล้ว เพราะหมอที่นี่ต้องนัดก่อนถึงจะไปหาได้ ถ้าไปเวลาหลังที่หมอเลิกงาน ต้องเข้า ER (Emergency Room) เท่านั้น ซึ่งแพงหูฉี่ ถึงประกันที่พี่มีมันจะช่วยรองรับค่าใช้จ่ายกันบ้าง แต่ประกันของพี่เป็นแบบที่ $1200 แรกของปี พี่ต้องจ่ายเอง แสดงว่าถ้าพี่เข้า ER เพื่อให้เค้าบอกพี่ว่า “ไปหายาแก้อักเสบมากินซะ แล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ” พี่อาจต้องเสียเงินอย่างต่ำ $500 เลยก็ได้

เรื่องระบบสุขภาพของอเมริกานั้น กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าสู้กับระบบที่ไทยไม่ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจของโลก จะมีระบบสุขภาพที่เทียบไม่ติดกับประเทศเล็กๆบ้านเราอย่างมาก คือที่นี่ ถ้าไปหาหมอต้องทำการนัดก่อน ซึ่งบางกรณีถ้าให้รอก็คงแย่กันก่อนพอดี เช่น เมื่อปลายปีที่แล้ว มีพี่คนไทยที่นี่ไปเล่นสโนวบอร์ดแล้วล้ม กระดูกไหปลาร้าหัก แทนที่จะมีการส่งไปโรงพยาบาลแล้วรับการผ่าตัดทันที แต่ไม่ค่ะ หมอให้ยาแก้ปวดแบบระงับประสาทอย่างแรงมากิน แล้วให้ไปนัดหมอเพื่อทำการผ่าตัดต่อไป พี่ซึ่งเป็นคนจัดการเรื่องนัดหมอ โทรไปหลายที่มาก กว่าจะได้คิวเร็วที่สุดคือวันพฤหัส ลองคิดดูสิ กระดูกหักวันอาทิตย์บ่าย ผ่าตัดวันพฤหัสตอนเช้า และหลังจากที่หักค่าประกันแล้วทั้งหมด พี่คนนั้นเสียค่าหมอไปเป็นแสน ทั้งๆที่ไม่มีการนอนโรงพยาบาลใดๆทั้งสิ้น อีกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงคือ เมื่อสองปีที่แล้วพี่เจ็บคออย่างหนัก จนไข้ขึ้นสูงมาก เลยต้องยอมเข้า ER สิ่งที่พี่ได้รับจากไปหาหมอคือ “กินไทลีนอล แล้วดื่มน้ำเยอะๆนะ” พร้อมทั้งเก็บเงินพี่ไป $100... ในระยะเวลาสองเดือน พี่เข้า ER 3 รอบเสียครั้งละร้อย ได้รับคำตอบเดิมๆ แล้วก็ไม่หายซะที พี่เลยหาทางออกด้วยการไปเอายาแก้อักเสบของเพื่อนมากินถึงจะหาย ถ้าพี่ไม่มีประกันนักเรียน พี่ไม่ได้เสียแค่ $100 ต่อครั้ง แต่เสียเงินทั้งหมดรวมๆแล้วมากกว่า $1,000 ต่อครั้ง


Denver, CO - April 15, 2013



ในคืนนั้นอาการพี่แย่ลงเรื่อยๆ ฉี่ผสมเลือดทุกสิบนาที ดื่มน้ำเท่าไหร่ก็ออกหมด แต่ก็ต้องทนขับรถฝ่าพายุเพื่อไปเอายาจากเพื่อนตอนเวลาสามทุ่ม ถึงตอนนั้นไข้ขึ้นและไม่มีแรง พี่ก็เกรงใจไม่กล้าขอให้คนอื่นขับรถไปเอายามาให้เพราะพายุหิมะตกหนักและลมแรงมาก ตามท้องถนนนี่แทบไม่มีคน และแทนที่จะใช้เวลาไปบ้านเพื่อนแค่ 10 นาที แต่วันนั้นพี่ใช้เวลาทั้งหมดเกือบครึ่งชั่วโมง

ในเวลาที่พี่ป่วยคนที่พี่คิดถึงมากที่สุดก็คือแม่ ถ้าอยู่ไทยพี่คงไปหาหมอได้ทันทีและไม่ต้องมาทนป่วยอย่างนี้ และเวลาป่วยแม่ก็จะช่วยหาข้าวให้กิน แต่อยู่ที่นี่ถึงป่วยแค่ไหนก็ต้องมาต้มมาม่ากินเอง (อาหารหลักตอนป่วยของพี่) และก็ต้องขอบคุณเพื่อนที่คอยคุยอยู่เป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊ค มีเพื่อนคนนึงเป็นห่วงมาก ขนาดออกไปซื้อยาและส่งไปรษณีย์จากไทยมาให้ทันทีหลังจากที่รู้เรื่อง (ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ถึง 55) ...พี่สัญญากับตัวเอง ว่าจะรักษาสุขภาพและไม่อั้นฉี่อีกแล้ว :)



Mellow tiger..







Tuesday, April 23, 2013

ก้าวแรกแห่งการออกเดิน บนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย



ก้าวแรกแห่งการออกเดิน 
บนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย


วันนี้
๒๓ เมษายน ๒๕๕๖
ฉันกลายเป็นคนที่มีอักษรย่อต่อท้ายชื่อว่า "นทร.(สกอ.)"

ชีวิตฉันจะเปลี่ยนไปตลอดกาลหลังจากนี้
ด้วยความเต็มใจของฉันเอง
ใช่, ด้วยความเต็มใจของฉันเอง

ในโอกาสพิเศษอย่างนี้
ฉันกลับไปหาเพื่อนเก่า บอกข่าวดีให้เธอได้รู้
เธอไม่ได้ยินดีกับฉัน
หากแต่ตอกกลับฉันด้วยความจริงอันเจ็บปวด
ที่ว่า
ไม่ว่าฉันจะวิ่งหนีอย่างไร
ฉันก็ไม่อาจวิ่งหนีใจของตัวเองได้พ้น

ฉันหวังให้นี่เป็นก้าวแรกที่ฉันเริ่มออกเดิน
ไม่ใช่เดินเพื่อหนีตัวเอง
แต่เดินเพื่อรู้จักตัวเองให้มากขึ้น มากขึ้น
และสุดท้ายเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับความคิดจิตใจตัวเองให้ได้
ไม่ว่าความคำนึงเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่เราอยากถ่ายถอนออกจากตัวมากเพียงใด

วันนี้นอกจากจะเป็นวันดี วันที่ฉันได้เปลี่ยนสถานะอย่างสมบูรณ์แบบ
ยังเป็นโอกาสพิเศษที่ได้พบศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ
นักอักษรศาสตร์และนักอะไรอีกหลายๆอย่างที่ฉันเคารพนับถือ
พบกันวันนี้ ฉันรู้แล้วว่าคนมีปัญญานั้นเป็นแสงสว่างในโลกนี้อย่างไร

ไม่ใช่ชื่อเสียง ไม่ใช่ความภาคภูมิ ไม่ใช่ใบปริญญา
แต่ "a chance to grow up" คือสิ่งที่เราจะได้จากความเหนื่อยยากหลังจากนี้
อาจารย์บอกว่า การศึกษาคือการแสวงหา ส่วนหนึ่งมาจากการแนะนำของครู
อีกส่วนหนึ่งคือเราต้องค้นหาเอง
แล้วสุดท้ายสิ่งที่เราจะได้ค้นพบก็คือตัวเองนั่นแหละ
เมื่อได้ค้นพบตัวเองแล้วก็จะเริ่มค้นพบสิ่งที่อยู่ในโลกภายนอก

อาจารย์พูดอะไรอีกหลายอย่าง
ประโยคหนึ่งของอาจารย์ที่ฉันจำขึ้นใจคือ
"เรียนวรรณคดีเถอะ วรรณคดีเป็นวิชาเดียวที่คุณนอนเรียนได้!"

สัญญา, เบนเข็มครั้งนี้จะไม่ทิ้งวรรณคดี
จะไม่ทิ้งการอ่านการเขียน
นี่เป็นโลกมหัศจรรย์อีกใบที่ฉันรู้ว่าฉันไม่มีวันหนีพ้น
และก็แน่ล่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหนี

ฉันเติบโตมากับวรรณกรรม ฉันร่ำเรียนวรรณคดี
ฉันอ่าน ฉันเขียน ฉันหลงรักตัวอักษรของผู้คน
ทั้งผู้ที่รู้จักกันเพียงผ่านหน้ากระดาษ ทั้งผู้ที่โลดแล่นอยู่ในชีวิตจริง
ทั้งหมดทั้งมวลคือสิ่งที่หลอมรวมกันเป็นฉันในวันนี้
เพียงแต่ตอนนี้ต้องเลือกเดินหน้าไปกับอีกเส้นทางที่โอกาสเอื้อกว่าเท่านั้น

วันนี้
๒๓ เมษายน ๒๕๕๖
ฉันตัดสินใจพาตัวเองเข้าสู่ศาสตร์ด้านคติชนวิทยา
ร่ำเรียนห้าปี กลับมาสอนสิบปี
อย่างน้อยๆชีวิตในอีกสิบห้าปีหลังจากนี้จะต้องอุทิศให้งานด้านนี้อย่างจริงจัง
นี่คือทางที่ฉันเลือกแล้ว ทำได้เพียงเดินหน้า หันหลังกลับไปไม่ได้แล้ว

แม้จะต้องเดินทางไกล แต่นี่ไม่ใช่การหนี
ฉันยังคงตัดสินใจทุกสิ่งจากหัวใจ
ฉันเลือกไปเพราะสนใจคติชนวิทยา สนุกกับการศึกษาความคิดและชีวิตของผู้คน
ส่วนการเดินทางไกลเพื่อเปิดหัวใจให้กว้างนั้น ฉันเรียกมันว่าผลพลอยได้

และที่สุดแล้ว
ฉันเลือกคติชนวิทยา ใช่ว่าฉันหมดรักวรรณคดี
ฉันเพียงแต่เลือกสิ่งที่เป็นจริงกว่าเท่านั้น



Patha V

Sunday, April 21, 2013

The Sister Journey Part III







That Original Frippo

Tuesday, April 16, 2013

ดอกไม้หลังฝน


ฉันเดินทางกลับบ้านมาในวันที่แดดเดือนเมษาร้อนราวกับเจ้าหญิงอารมณ์ร้าย

สองเดือน คือเวลาที่ฉันไม่ได้กลับมาบ้าน
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ต้นไม้ทยอยร่วงหล่นจากต้น บรรยากาศเริ่มร้อนแล้ง
กลับมาครั้งนี้ ที่ว่าร้อนแล้งในวันนั้นกลับกลายเป็นร่มรื่นไปถนัดตา
สิ่งที่ฉันเห็นในวันนี้คือใบไม้ที่บ้างสีเหลืองแห้งกรอบ บ้างสีเขียวซีดจาง
บ้างสีน้ำตาลเข้มขึ้นๆตามปริมาณองศาของอุณหภูมิ

ความร้อนไม่ได้มาลำพัง แต่ยังพาความแล้งมาด้วย
นอกจากอากาศแสนทารุณ น้ำกินน้ำใช้ยังไหลเอื่อย มีน้อยจนทุกคนรู้สึกได้
ประเพณีสงกรานต์ที่เคยเล่นกัน 4-5 วัน ลดลงมาเล่นกันแค่ 2 วันเท่านั้น
ถัดจาก 2 วันแรก เมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้าง ไร้ร่องรอยการเล่นน้ำ
เสียงผู้คนบ่นกันหนาหู น้ำมีน้อย เราควรใช้สอยอย่างประหยัด
นี่คือความเปลี่ยนแปลงของประเพณี
หรือจริงๆคือสิ่งที่เราควรเรียกว่าวิกฤตของโลก?



































































แล้วจู่ๆ ในคืนวันที่ 2 ที่กลับมาอยู่บ้าน
น้ำจากฟ้าก็โปรยปรายลงมาให้ได้ชื่นใจ
ฝนตกลงมาให้ชื่นฉ่ำอยู่ได้ราวชั่วโมง
พ่อกับแม่ปลาบปลื้มใจ
รำพึงรำพันว่า นี่ก็มากพอให้ต้นไม้เก็บสะสมไปได้ทั้งอาทิตย์
คงจริง, เพราะเพียงแค่กิ่งใบได้สัมผัสน้ำ
สีเขียวซีดจางก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใสราวกับไม่เคยได้เหี่ยวเฉามาก่อน

ฝนหยุดตกนานแล้ว
แต่ไฟที่ดับไปตั้งแต่พายุเข้าก็ยังไม่มา
เราจุดเทียนให้แสงสว่างแทนไฟฟ้า แล้วนอนคุยกันเนิ่นนานในความมืด
เราลงความเห็นกันว่าสำหรับคืนที่น่าจดจำเช่นนี้ คงต้องขอบคุณฝนฟ้าพายุ
ที่ทำให้เราได้มีเวลาพูดคุยใกล้ชิดกันมากขึ้น

รุ่งเช้าวันนี้ วันสุดท้ายที่บ้าน
ฉันตื่นแต่เช้า ออกสำรวจต้นไม้ใบหญ้าหลังผ่านศึกหนักมาเมื่อคืน
ดอกไม้หลายดอกเหี่ยวเฉา หลายดอกหล่นคว้างอยู่ใต้ต้นเพราะโดนลมแรง
แต่กิ่งใบของเธอกลับเขียวสดใสงดงาม พร้อมจะแตกผลิต่อยอดขยายพันธุ์
ชีวิตคนเราก็คงเป็นเช่นนี้ จำเป็นจะต้องสละบางสิ่ง
เพื่อให้บางสิ่งได้เติบโตงดงาม



































































กลับมาบ้านคราวนี้ ฉันมีข่าวดี
ข่าวดีที่ทำให้ทุกคนตื่นเต้น ดีใจ
แต่ก็เป็นข่าวดีที่มาพร้อมกับการตระหนักรู้ว่า
ไม่นานหลังจากนี้ เราจำเป็นจะต้องจากกันไกลอีกครั้ง
ไกลและยาวนานกว่าครั้งใดๆที่เราเคยจาก

ดีใจระคนใจหาย,
ฉันพยายามเก็บจำและเรียนรู้จากภาพการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ดอกไม้...
เพื่อการดำรงอยู่ เราจำเป็นต้องยอมแลกบางสิ่ง
เพื่อบางสิ่งที่เป็นจริงกว่าเสมอ
และฉันก็รู้ดีว่า หลังจากดอกไม้เหี่ยวเฉาหรือร่วงหล่นไป
วันหนึ่งพวกเธอก็จะกลับมาผลิบานอวดโฉมให้ได้ชื่นชมใหม่เสมอ





























































Patha V

Sunday, April 14, 2013

The Sister Journey I And II







That Original Frippo

Thursday, April 11, 2013

Saying Goodbye

 ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาเกือบสามปี พี่ได้บอกลาเพื่อนที่ถูกใจกันหลายคน ถ้าจะนับเป็นรุ่นๆที่มาเรียนกันในแต่ละปี นี่ก็เป็นรุ่นที่สามแล้วที่ทยอยกันกลับไทย เมื่อช่วงปีใหม่ มีพี่ที่สนิทกัน(ที่สุด)กลับไทย เดือนที่ผ่านมาอีกหนึ่งคน วันนี้พี่อีกคน และในอีกสองเดือนข้างหน้า เพื่อนอีกคนก็จะกลับไทย ...การบอกลาใครซักคนเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะคนอยู่ไกลบ้านอย่างพี่

เหมือนเป็นธรรมเนียม ไม่ว่าที่บ้านเราหรือที่นี่ ก็ต้องมีการเลี้ยงส่งเพื่อบอกลาใครซักคน ที่นี่ก็เช่นกัน โดยจะให้เพื่อนที่กำลังจะกลับไทยเลือกว่าอยากกินอะไร แล้วก็นัดเพื่อนๆที่เหลือเพื่อกินเลี้ยงส่งกัน เราเลยมีการนัดกินข้าวกันเย็นวันอังคาร เพื่อเลี้ยงส่งพี่ที่เพิ่งกลับไปวันนี้ โดยพี่เค้าเลือกที่จะกิน King Crab ซึ่งจะต้องขึ้นไปกินบนเขาในเมืองคาสิโนเล็กชื่อ Black Hawk ห่างจากตัวเมืองเดนเวอร์ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เรื่องมันเริ่มสนุกตรงที่ทางพยากรณ์อากาศ ได้มีการเตือนไว้ว่าต้นอาทิตย์พายุหิมะกำลังจะเข้า Colorado หิมะจะเริ่มตกตั้งแต่คืนวันจันทร์ยาวจนไปถึงวันพุธ และหิมะมันจะตกหนักขนาดที่ว่าสายการบินต่างๆ ได้ยกเลิกเที่ยวบินมากกว่า 300 เที่ยวบินเลยทีเดียว

แล้วแทนที่เด็กไทยอย่างพวกเราจะล้มเลิกแผน หรือเปลี่ยนไปกินร้านอาหารใกล้ๆในเมือง แล้วจะรีบกลับบ้านเหมือนคนอื่นๆเค้า แต่ไม่ 55 เราเลือกที่จะเลื่อนนัดการเลี้ยงส่งนี้มาเป็นวันจันทร์แทน ยอมขับรถฝ่าลม ฝ่าหิมะกันเพื่อไปกินกันบนเขา โชคดีที่ถึงแม้ลมแรงและหิมะเริ่มตก แต่มันก็ยังเป็นฝนปนกับหิมะและไม่ใช่ sticky snow ซึ่งทำให้การขับรถไม่ได้อันตรายมากนัก

อาจเป็นเพราะหิมะ ทำให้คาสิโนที่ไปนั้นเงียบเหงามากกกว่าอื่นๆ ร้านอาหารในคาสิโนก็คนน้อย แต่ข้อดีคือเราไม่ต้องต่อแถวในการตักอาหารนาน ปูนั้นก็สดใหม่กว่าที่ได้กินมา การนัดเลี้ยงส่งครั้งนี้พี่สนุกมาก พวกเรากินกันเยอะมาก นั่งอยู่กันเป็นโต๊ะสุดท้าย พี่ ได้ยิ้มและหัวเราะตลอดเวลา มากที่สุดตั้งแต่ที่กลับมาจากไทย (อาการคิดถึงบ้านและการที่ต้องมาปรับตัวและความรู้สึกกันใหม่ ทำให้รู้สึกหดหู่ไปเกือบเดือน) ความสุขที่พี่ได้รับนั้นส่งต่อมาถึงวันถัดมา ถึงแม้พี่จะนอนตีหนึ่งและต้องตื่นเช้าไปทำงาน แต่พี่ก็ไม่ง่วงเลยสักนิด ความสุขที่ได้รับเหมือนเป็นยา หรือฮอร์มนอะไรซักอย่าง ที่ทำให้เรารู้สึก “high” และมีพลังงานในการดำเนินชีวิต คาเฟอีนที่ได้รับจากชาหรือกาแฟยังเทียบไม่ติดเลยซักนิด :)


 “แล้วเจอกันที่ไทยนะ”




Mellow tiger..

Sunday, April 7, 2013

Love You Everyday





That Original Frippo

Tuesday, April 2, 2013

ความทรงจำจากเมืองเกาะครึ่งร้อย (2)



ความทรงจำจากเมืองเกาะครึ่งร้อย (2)
: ชมเหยี่ยว - เที่ยวทั่วตัวเมือง


วันที่ 2 ในตราด เราเริ่มต้นทริปที่ตลาดเช้าเทศบาลเมืองตราด
ว่ากันว่าถ้าเราอยากรู้จักเมืองไหนให้ลึกถึงแก่น
เราต้องไปเดินตลาด(เช้า)ของที่นั่น
พวกเราเลยไม่รอช้า พากันเดินทางไปตลาดเช้า
ตลาดที่ว่ากันว่าคึกคักที่สุดและเป็นศูนย์กลางของเมืองตราดเลยทีเดียว

ตลาดเทศบาลเมืองตราดเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
ของสำคัญไม่ควรพลาดเลยคืออาหารทะเลโดยเฉพาะปลาทะเล
ปลาทะเลตัวใหญ่ๆเบิ้มๆวางเรียงรายกันไปทั่วทุกแผง
มีกระทั่งปลากระเบน ปลาฉลาม ให้เราได้ตื่นเต้นกรี๊ดกราดกัน
นอกจากนั้นยังมีของดีเมืองตราดหายากอีกหลายอย่าง เช่น หอยปากเป็ด
หอยประจำถิ่นของเมืองตราดที่มีลักษณะเปลือกแข็งๆ
และมีหางเป็นเส้นๆยาวๆ ชาวตราดนิยมนำมายำ เรียกว่ายำหอยปากเป็ด
เราลองซื้อมาชิมกัน รสชาติแปกใหม่ดีทีเดียว

ปลาสดๆที่ตลาดเช้าเทศบาล

 เดินตลาดเสร็จหมาดๆ ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมา
เรากระโดดขึ้นรถไปกินข้าวร้านก๋วยเตี๋ยวริมเขื่อน เป็นข้าวมันทะเล
หน้าตาก็โอเค เพียงแต่ให้น้อยและราคาแพงไปนี้ด

กินข้าวเสร็จก็ไปลุยงานต่อ ไปร้านขายพลอย
ตามหาพลอยแดง ซึ่งเป็นหนึ่งในของดีของตราด 
และถือเป็นของฝากน่าซื้อด้วย
ถ่ายภาพพร้อมสัมภาษณ์กันอย่างจุใจแล้วพี่เจ้าของร้านใจดี
เลยให้พลอยเม็ดเล็กๆเรามากันคนละสองเม็ด
เราหยิบอะเมทิสต์ พลอยสีม่วงประจำเดือนเกิดมา
แหม่ พี่เจ้าของนอกจากจะสวยตรึงใจแล้วยังใจดีอีกด้วยนะ แฮะๆ

ตามหาพลอยกันเสร็จแล้วเราก็แวะไปวัดบุปผารามกับด้วย วัดสวยอลังการมาก

ไฮไลท์ของวันนี้อยู่ที่ ร้านอาหารคนพลั ดถิ่น ค่ะ
หลังจากทำงานในเมือง เราก็ตีรถออกไปทางแหลมศอก
ไปกินอาหารทะเลสดๆในบรรยากาศสงบร่มรื่น
ร้านนี้นั่งกินบนแพ บรรยากาศดีมาก เจ้าของน่ารักเป็นกันเอง
ที่สำคัญคือที่หลังร้านจะมีบ่อตกปลาขนาดใหญ่อยู่ ข้างหลังเป็นป่าให่ญ่
เจ้าของร้านเค้าจะให้อาหารปลาในบ่อตรงเวลา
ในเวลาพวกนี้พวกเหยี่ยวแดงที่อาศัยอยู่ในป่าก็จะบินลงมาแย่งอาหารปลา
เป็นภาพที่สวยงามประทับใจเพราะมากันเยอะมาก
มาเป็นฝูงใหญ่ประหนึ่งฝูงแร้งเลยทีเดียว
เจ้าของบอกว่าเดี๋ยวนี้มันจะรู้เวลา ก็จะมารอ
เจ้าของเลยเอาตรงนี้มาเป็นจุดขาย เรียกลูกค้าให้มากินข้าวที่ร้าน
ดูน่าสนใจดีนะ มีจุดขาย แต่ก็แอบรู้สึกหดหู่พอคิดว่า
เหยี่ยวพวกนี้มันหากินเองไม่เป็นอีกแล้ว 
กลายเป็นว่าต้องรอคนมาคอยป้อนให้เป็นเวลาเสมอ

ฝูงเหยี่ยวแดง

เยอะแบบอลังการมากๆ

ดูเหยี่ยวเสร็จเราก็ไปแหลมเกาะปู
ชุมชนชาวประมงบ้านอ่าวช่อ บ้านเปร็ดใน
ก็สนุกสนานกันไป และกลับไปซบอกริมคลองบูติกอีกหนึ่งคืน :)




Patha V

Sunday, March 31, 2013

It's Our Home






That Original Frippo

Thursday, March 28, 2013

Getting a Job (III)


หลังจากผ่านกานสัมภาษณ์รอบนั้น ใจพี่ก็ตุ้มๆต่อมๆตลอดทั้งอาทิตย์ ใจนึงก็มีความหวังเล็กว่าน่าจะได้ เพราะหลังจากจบการสัมภาษณ์ เค้าได้พาพี่พาไปเดินทัวร์ ออฟฟิซ และพาไปรู้จักกับ Director แต่อีกใจนึงพี่ก็ไม่อยากตั้งความหวังไว้มาก ไม่ได้ไม่เป็นไร เราก็สู้กันต่อ... หลังจากนั้นสองวัน มีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆโทรเข้ามา ปลายสายแจ้งว่า “เรายินดีด้วย คุณได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนฝึกงานที่บริษัทเรา” พี่แทบอยากจะกรี๊ดอยู่ตรงนั้น แต่ต้องเก็บอาการไว้ เพราะต้องคุยเรื่องเอกสารและเงินเดือนกันต่อ :)

หลังจากที่ได้ที่ฝึกงานแล้วเราก็ต้องไปติดต่อที่ Career Center ของมหาวิทยาลัย เพื่อจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ โดยทางมหาวิทยาลัยจะออกใบสัญญากับนายจ้าง ว่านายจ้างจะต้องรับเราทำงานตำแหน่งอะไร ต้องปฏิบัติกับเราอย่างเหมาะสม เป็นต้น แต่ที่พิเศษกว่านักเรียนชาวอเมริกันคือ นักเรียนต่างชาติที่ได้ที่ฝึกงานแบบได้รับค่าจ้าง หรือ Paid Internship จะต้องไปติดต่อที่ International Student Services Office เพื่อติดต่อเรื่องการขอ CPT (Curricular Practical Training) และออก I-20 (เอกสารวีซ่านักเรียน)ให้ใหม่ ซึ่งเจ้า I-20 ใบใหม่นั้น จะระบุว่าเราได้ฝึกงานที่บริษัทอะไร ทำงานตำแหน่งอะไร เริ่มจากวันไหน สิ้นสุดวันไหน

การที่เราได้ที่ฝึกงานโดยเฉพาะสำหรับนักเรียนต่างชาตินั้น เหมือนเป็นใบเบิกทางให้หางานได้ขึ้น บางคนนั้นอาจโชคดีได้ทำงานต่อในบริษัทที่ฝึกงานเลย (ซึ่งพี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น) นอกจากเรื่องนี้แล้ว เรายังได้ประสบการณ์การทำงานที่มีค่ามากๆ ถ้าจะให้เปรียบทียบกับวัฒนธรรมการทำงานของที่นี่กับที่บ้านเรา มันมีความต่างและข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป (ส่วนที่จะกล่าวถึงมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของพี่นะ คนอื่นอาจเห็นต่างออกไป) ที่นี่จะทำงานกันเป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน และมีการแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานอย่างชัดเจน คือเจ้านายจะเน้นที่ตัวผลงานมากกว่ามาจี้เรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ตอนอยู่บ้านเรา ถึงแม้งานเลิกห้าโมงเย็นแต่ก็เป็นวัฒนธรรมของบริษัทที่ต้องนั่งอยู่กันต่อถึงห้าโมงครึ่ง เพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่าเราขยัน ตั้งใจทำงาน แต่ที่นี่มีเวลาเข้าออกชัดเจน ไม่ต้องนั่งยาวต่อกันหลังเลิกงาน ถ้าเราติดธุระที่บ้าน สามารถทำงานที่บ้านได้ แต่งานต้องเสร็จและส่งให้ทันกำหนด

ถึงแม้การที่ได้ที่ฝึกงานนั้น จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เราได้ทำงานหลังจากเรียนจบ แต่สิ่งที่พี่ดีใจมากกว่านั้น คือในที่สุด พี่ก็สามารถหารายได้เป็นของตัวเอง และสามารถเริ่มเก็บเงินคืนพ่อกับแม่ได้ ถึงแม้มันอาจจะใช้เวลานาน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ค่าใช้จายทั้งหมดที่พี่ใช้ในการเรียนต่อที่นี่ พี่เชื่อว่าจริงๆแล้วพ่อแม่ทุกคนก็คงไม่ได้ตั้งความหวังว่าลูกจะต้องหามาคืน แต่สำหรับพี่ เงินก้อนนั้นมันเป็นเวลาที่เค้าเก็บมาให้เราตลอดชีวิต (20 กว่าปี) ดังนั้นเราก็ควรจะ”พยายาม”เก็บเงินและคืนเงินก้อนนั้นให้เค้า คิดดูสิในตอนที่พ่อแม่อายุเท่าพี่ในตอนนี้ เค้าก็แต่งงานมีพี่และเริ่เมเก็บเงินหาสร้างอนาคตให้พี่แล้ว ตอนนี้เราตัวคนเดียว ทำไมเราจะเก็บเงินคืนเค้าไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ



Mellow tiger..





ปล. ถึงแม้งานนี้จะหาเจอจาก Google แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นบริษัทที่จัดการดาวเทียมอันดับ 4 ของโลกเลยทีเดียว :)

Tuesday, March 26, 2013

ความทรงจำจากเมืองเกาะครึ่งร้อย (1)




เข้าเดือนมีนาแล้ว
เราและพรรคพวกตัดสินใจหนีร้อนที่กรุงเทพฯ
เดินทางไปยังภาคตะวันออกสุดของไทย
ยังดินแดนแห่งเกาะครึ่งร้อย นามว่าจังหวัดตราด



ความทรงจำจากเมืองเกาะครึ่งร้อย (1)
: เขาสมิง-บ่อไร่ เราไปทุกที่ที่มีทาง


เราออกเดินทางวันแรกในวันที่ 11 มีนาคม 2556
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลา 9.00 น.
ไปถึงตราดราวบ่าย 2 ใช้เวลาราว  4-5 ชั่วโมง

วันแรกของทริป เราเดินทางไปยังส่วนที่ห่างไกลที่สุด
คือในเขต อ.เขาสมิง และ อ.บ่อไร่
เขตนี้เป็นเขตกันดารและห่างไกลของจังหวัดตราด
แต่ในเมื่อเราเป็นนักเดินทาง เราจึงต้องไปทุกที่ที่มีทางและมีที่ให้เที่ยว

จุดหมายปลายทางแรกของทริปนี้อยู่ที่ โบราณสถานเขาโต๊ะโมะ
เป็นสถานที่ที่มีกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ที่ "ชาวชอง" 
หรือชาวเขมรกลุ่มหนึ่งขนมารวมไว้ตั้งแต่อดีต
จริงๆที่นี่ก็ค่อนข้างร้าง แต่ด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ ความอุดมสมบูรณ์ของป่า
เราก็เลยยังให้อภัยเดินเล่นและถ่ายรูปเก็บไว้กันอยู่ได้นานสองนาน


โบราณสถานเขาโต๊ะโมะ


ที่เขาโต๊ะโมะมีต้นไม้ใหญ่ๆเต็มไปหมด ร่มรื่นมากๆ


ที่ต่อมาเราไป น้ำตกเขาสลัดได น้ำตกขนาดเล็กที่เข้าไปลำบากมากกก
ต้องผ่านป่าดงดิบยุคดึกดำบรรพ์เข้าไป
แล้วต้องลงเดินต่ออีกราว 500 เมตร
เพื่อจะเข้าไปพบน้ำตกขนาดจิ๋วที่สุดที่แทบไม่มีน้ำไหลอยู่อีก
บริเวณรอบๆหรือก็รกร้าง ไม่เหมาะสำหรับมาเที่ยวเล่นอย่างยิ่ง
พี่คนหนึ่งแอบนิยามให้ว่านี่มันฉากถ่ายหนังเรทอาร์ชัดๆ

จากน้ำตกที่ทำให้เราผิดหวัง เราไปต่อยัง อุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองแก้ว
เดินเล่นน้ำตกคลองแก้วขนาด 7 ชั้น ในบรรยากาศร่มรื่น
แต่เราไปถึงแค่ชั้น 3 ซึ่งว่ากันว่าเป็นชั้นที่สวยที่สุด
ที่นี่ก็ร่มรื่นดี มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีนักท่องเที่ยวมาเล่นมากมาย
ทริปน้ำตกของเราในวันนี้เลยไม่กร่อยจนเกินไปนัก

พระอาทิตย์ตกแล้ว ที่อ่างเก็บน้ำเขาระกำ


จากที่นี่เราก็วนเก็บข้อมูลที่เที่ยวอื่นๆในเขต อ.เขาสมิง-อ.บ่อไร่
อยู่กันจนเย็นย่ำ จากนั้นก็ตีรถไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่อ่างเก็บน้ำเขาระกำ
ว่่ากันว่าที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมากอีกจุดหนึ่งในจังหวัดตราด
เราถ่ายภาพ เก็บข้อมูลสถานที่เที่ยวแห่งนี้พักใหญ่แล้วจึงเดินทางเข้าตัวเมือง
เข้าที่พักที่ ริมคลองบูติก ที่พักชิคชิคน่ารักในตัวเมือง

เขตที่เราพักอยู่เป็นเขตชุมชนเก่าคลองบางพระ
บ้านเรือนยังเป็นเรือนแถวไม้แบบเก่า สวยงามคลาสสิก
แต่คืนแรกหมดแรงเกินกว่าจะเดินสำรวจบริเวณรอบๆได้หมด
จึงพากันแยกย้ายเข้านอนเก็บเรี่ยวแรงไว้สำหรับวันต่อไป

วันพรุ่งนี้เราจะตะลุยในเขต อ.เมืองกันต่อ
มารอดูกันว่าการเดินทางครั้งนี้จะโหด มัน ฮา แค่ไหนนะคะ :)

ระหว่างทางกลับเข้าตัวเมืองตราด


Patha V

Sunday, March 24, 2013

Life In A Day [week 1]






Thai Original Frippo

Thursday, March 21, 2013

Getting a Job (II)


แล้ววันนัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ก็มาถึง...

ก่อนถึงเวลาสัมภาษณ์พี่ได้เตรียมเอกสาร คำถามคำตอบที่เตรียมไว้ พร้อมด้วยหนังสือเรียน เผื่อเค้าจะถามคำถามเกี่ยวกับที่เรียนมา(ซึ่งตอนนั้นพี่ยอมรับเลยว่ากลัวที่สุด เพราะงานที่สมัครไปถึงแม้จะเป็นทางด้าน IT เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ตรงสายที่เรียนมากนัก) ตอนที่โทรศัพท์ดัง เหมือนหัวใจพี่ตกไปที่พื้น ตื่นเต้นสุดๆ แต่ยังดีที่คนสัมภาษณ์ให้ความเป็นกันเองมาก และพูดอย่างช้าๆชัดๆให้พี่ได้เข้าใจ ไม่มีการถามคำถามทางวิชาการทั้งสิ้น(โล่งอก)

วันต่อมาได้รับโทรศัพท์จากผู้สัมภาษณ์ว่า เราเป็นหนึ่งในสามที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย (ยังกับประกวดนางงาม) ให้เข้าไปสัมภาษณ์ที่บริษัทในอาทิตย์ต่อมา ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่าขอสู้สุดตัว โดยใช้เวลาก่อนการสัมภาษณ์ทั้งหมดเตรียมอ่านหนังสือ ฝีกเขียนโค้ดอย่างเต็มที่ อีกเรื่องที่ต้องห่วงคือเสื้อผ้า สำหรับผู้ชายคงเป็นเรื่องง่าย  เพราะสามารถใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงแสล็คไปได้ แต่สำหรับผู้หญิง ก็ต้องมานั่งคิดว่า กระโปรงดีมั้ย หรือว่ากางเกง แล้วใส่สูทด้วยรึเปล่า ทรงผม แต่งหน้า โอ๊ยสารพัดมากๆ แล้วยิ่งเพิ่มความยากลำบากไปอีก ตรงที่ตำแหน่งที่พี่สมัครเป็นไอที ซึ่งเป็นแผนกที่แต่งกาย business casual (ซึ่งเป็นคำถามที่พี่เตรียมไปถามเค้าทางโทรศัพท์เรื่องวัฒนธรรมบริษัท) ยกตัวอย่างเช่น ในวันทำงานผู้ชายจะใส่กางเกงยีนส์และเสื้อโปโลคอปก เป็นต้น มีเรื่องเล่าว่าบางบริษัทอย่างเช่น Google ถ้าใครไปสัมภาษณ์แล้วใส่สูท ผูกไทด์ อาจมีโอกาสได้งานน้อยกว่าคนที่แต่งตัวสบายๆไปสัมภาษณ์ เพราะไม่เข้ากับวัฒนธรรมบริษัทนั่นเอง (ไปสัมภาษณ์ที่ Google ต้องมีการสอบวัด I.Q. กันด้วยนะ) พี่ใช้เวลาในการตัดสินใจเรื่องนี้นานหลายวันแล้วจึงสรุปว่า จะใส่เป็นกางเกงแสล็ค เสื้อสายเดี่ยว(น่ารักๆ) เพื่อไม่ให้ดูเป็นทางการเกินไป แล้วใสเสื้อสูทลำลองทับอีกตัวนึง

ก่อนไปถึงวันสัมภาษณ์ เราก็ควรศึกษาเส้นทางให้ละเอียด โดยเฉพาะคนที่ไม่มีรถส่วนตัว ว่าต้องนั่งรถไฟ หรือรถประจำทางสายไหน สำหรับชาวอเมริกันนั้นเรื่องการตรงเวลาสำคัญมาก ดังนั้นเราไม่ควรไปสายเด็ดขาด! ควรไปถึงก่อนซักห้าถึงสิบนาที ที่พี่บอกให้เผื่อๆไว้ อันนี้โดยเฉพาะสาวๆ จะได้มีเวลาเข้าห้องน้ำดูความเรียบร้อยของหน้าตาและเครื่องแต่งกายกันนิดนึง อ้อ แถมอีกเรื่อง ก่อนไปสัมภาษณ์นั้น เราก็ควรทำรีเซิชเรื่องบริษัทและผู้สัมภาษณ์เล็กน้อย เช่น บริษัทที่ทำนั้นผลิตภัณฑ์คืออะไร ผู้สัมภาษณ์หรือว่าที่เข้านายนั้นหน้าตาเป็นยังไง :) ตรงนี้มีทริค(อีกแล้ว) ว่านอกจากจะหาจาก Google แล้ว ให้เข้าไปที่เว็บ LinkdIn ซึ่งเป็นเว็บที่นี่เค้ามีไว้ในการหางาน โดยเราสามารถสร้างเพจใส่ข้อมูล และทิ้งเรซูเม่เราไว้ และยังสามารถ add connection เช่น เราอาจอยากจะทำบริษัทนั้น แล้วบังเอิญเพื่อนเรามี connection กับเพื่อนอีกคนในบริษัทนั้น ทำให้เราสามารถ refer งานได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

วันที่ไปสัมภาษณ์ พี่หวั่นใจสุดๆ เนื่องจากกลัวว่าเค้าจะให้เราลองเขียนโค้ดหรือแก้โจทย์โปรแกรมต่างๆ ความตื่นเต้นนั้นเพิ่มถึงขีดสุด เมื่อพอเดินไปถึงห้องสัมถาษณ์ มีคนมาสัมภาษณ์พี่ถึงห้าคน! ขออีกที ห้าคน! แต่ความกังวลและความตื่นเต้นก็ลดลง เมื่อทุกคนเริ่มแนะนำตัวและมีการพูดคุยกัน ทุกครั้งที่พี่ไปสัมภาษณ์งาน พี่จะพยายามขายตัวเองสุดๆ โดยการไม่หลบตาและยิ้ม พี่ว่าถ้าเรามีความมั่นใจ มันก็จะออกมากับบุคลิกและสร้างความมั่นใจให้เค้าเห็น และก็ต้องตอบคำถามอย่างฉลาด เช่น เค้าถามพี่ว่า ให้บอกข้อดีข้อเสียของเรา พี่บอกว่า พี่เป็นคนเข้ากับคนง่าย เมื่อก่อนตอนเป็นวิศวะ พี่เป็นหัวหน้าห้องและสามารถทำงานร่วมกับผู้ชายหลายร้อยคนได้อย่างดี (ฟังดูบึกบึนมาก) ที่ตอบอย่างนี้ พี่ต้องการให้เค้าเห็นว่า "เห็นมั้ยจ๊ะ ถึงชั้นเป็นสาวเอเชียตัวเล็กๆ แต่ชั้นก็ไม่กลัวที่จะเป็นหญิงเดียวในทีมโปรแกรมเมอร์ และสามารถทำงานกับพวกคุณได้อย่างดี" :)

ก่อนจบ พี่ก็มีการตบท้ายไปว่า ถึงพี่จะไม่ได้เรียนตรงสายและศึกษาความรู้ด้วยตัวเอง แต่พี่ก็มีความพยายามและขยัน ซึ่งถ้าพี่ได้งานนี้แล้ว พี่จะพยายามเรียนรู้และทำงานให้อย่างดีที่สุด...

อย่างที่พี่บอกไปแล้ว ว่างานนี้พี่ทุ่มสุดตัว :)



Mellow tiger..