
สถานีขนส่งเชียงรายบ่ายวันนั้นแม้จะไม่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
แต่ก็ยังมีรถโดยสารจำนวนมากให้บริการเดินทางระหว่างจังหวัด สอดส่ายสายตาหารถไปต่างอำเภอ
สมุดที่ถืออยู่ในมือปรากฏชื่อ “เชียงราย-เทิง-เชียงของ” มีโน้ตย่อเขียนกำกับเอาไว้ว่า “วิ่งเส้นในเมือง
ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า” เมื่อมองแล้วมองอีกยังไม่เห็นมา พลันสายตาก็ปะทะกับรถอีก 2 สาย “เชียงราย-พญาเม็งราย-เชียงของ”
คันสีส้ม และ “เชียงราย-เวียงเชียงรุ้ง-ห้วยซ้อ-เชียงของ” คันสีเขียว
“คันสีเขียวออกสี่โมง
ใช้เส้นนอก ใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมงกว่า ส่วนคันสีส้มออกสี่โมงครึ่ง
แต่วิ่งเส้นใน ไม่น่าจะเกินสามชั่วโมง” เพื่อนสาวผู้ร่วมทางแจกแจงข้อมูลโดยละเอียด
มองดูนาฬิกา อีก 10 นาที จะสี่โมงเย็น
หันไปมองคันสีส้มทางซ้ายยังไม่มีผู้โดยสาร จึงแอบแลไปทางคันสีเขียวด้านขวา พี่กระเป๋ารถที่ยืนจ้องอยู่แล้วส่งสายตาเชิญชวนมาให้พร้อมประโยค "ขึ้นเลยน้องขึ้นเลย"
ด้วยไม่อยากถึงที่พักแบบฉิวเฉียดเที่ยงคืนเหมือนซินเดอเรลล่า
เราจึงไม่รอช้ากระโดดขึ้นรถสีเขียว ไม่หวั่นแม้ว่าจะวิ่งอ้อมและทำให้ช้าไปบ้าง
16.00
น. ล้อหมุนตรงเวลา มองป้ายข้างรถแล้วกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
จุดหมายปลายทางของเราวันนี้อยู่ที่
“เชียงของ”

2.
รถสาย
“เชียงราย-เวียงเชียงรุ้ง-ห้วยซ้อ-เชียงของ” พาคณะผู้ร่วมทางเบี่ยงจากถนนสายหลักสู่ถนนนอกเมืองที่เต็มไปด้วยนาข้าวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
หลังจากผ่านปลายฝนต้นหนาว-ฤดูกาลที่ข้าวตั้งท้อง
ช่วงเปลี่ยนผ่านปีเช่นเดือนธันวาคมเช่นนี้ก็ถึงเวลาที่ข้าวจะสุกงอมพอให้เก็บเกี่ยว
ทิวทัศน์สองข้างทางที่เราเห็นจึงเป็นทุ่งรวงทองตัดกับท้องฟ้าสีคราม
เป็นทิวทัศน์งดงามที่ประทับอยู่ในใจยากจะลืมเลือน

3.
“เชียงของ”
เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เมื่อเทียบกับอำเภออื่นๆ ในเชียงรายแล้วต้องถือว่าเป็นอำเภอขนาดใหญ่พอสมควร
ภูมิประเทศของเชียงของเป็นพื้นที่ราบสลับกับเทือกเขา นอกจากคนไทยแล้ว
ยังมีประชากรหลากหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ โดยเฉพาะชาวลาวและชาวไทยภูเขาเช่นไทลื้อ
มูเซอ ม้ง ฯลฯ เนื่องด้วยการเป็นเมืองชายแดนติดกับประเทศลาว ทำให้มีรถบรรทุกขนาดใหญ่ขนถ่ายสินค้าระหว่างไทย-ลาวสัญจรบนถนนให้เห็นอยู่ตลอด
นอกจากรถบรรทุกที่ถ่ายโอนแลกเปลี่ยนสินค้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว
ผู้คนจากไทยและลาวก็ยังข้ามฝั่งไปมาหาสู่กันเสมอ “ความเป็นไทย” และ “ความเป็นลาว”
ของสองฟากฝั่งไม่ได้แยกห่างออกจากกันอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับที่ความเป็นบ้านพี่เมืองน้องเกิดขึ้นอย่างแท้จริงและเป็นจริงที่เมืองชายแดนเช่นนี้
เชียงของไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว-หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต
“ความเป็นเชียงของ”ที่เรามองเห็น จึงหมายถึงการเป็นเมืองชายแดนขนาดใหญ่เมืองหนึ่ง
ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างธรรมดา
ไม่เรียบง่ายถึงขนาดปฏิเสธผลพวงที่ตามมาจากระบบทุนนิยม
แต่ก็ไม่ได้เจริญถึงขั้นกลายเป็นเมืองใหญ่ที่วุ่นวายและแออัด
เราจะไม่พบร้านกาแฟสุดเก๋ที่มีเสื้อยืดสกรีนคำว่า
“เชียงของ” หรือโปสการ์ดที่เต็มไปด้วยคำว่า “เชียงของ” ที่นี่
จะไม่มีมุมถ่ายรูปยอดฮิต โรงแรมและเกสต์เฮ้าส์มีให้เห็นอยู่มาก
แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะรองรับนักท่องเที่ยวเหมือนเมืองอีกหลายเมืองในช่วงไฮซีซั่น
แต่สภาพความเป็นเมืองเหนือที่ผู้คนน่ารัก ใจดี มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่
วัดวาอารามให้เข้าไปค้นหาความเป็นล้านนา และทัศนียภาพที่สวยงาม ก็เป็นรูปแบบความงามอีกแบบที่น่าเข้าไปสัมผัส

4.
เราใช้เวลาเดินเล่นในตัวเมืองเชียงของอยู่ค่อนวัน
โดยเฉพาะในเขตบ้านหัวเวียงซึ่งถือได้ว่าเป็นเขตที่ผู้คนต่างถิ่นนิยมมาพักอาศัยมากที่สุด
เดินดูร้านรวง เดินผ่านร้านอาหาร ได้ชิมอาหารท้องถิ่นหลายอย่าง เช่น“ข้าวซอยน้ำหน้า”
ที่พี่สาวคนขายแนะนำว่าเป็นอาหารเฉพาะของอำเภอเชียงของ ได้ชื่นชมวัดวาอาราม
ทั้งวัดหลวง วัดแก้ว วัดศรีดอนชัย และอีกหลายๆแห่ง หรือกระทั่งได้มีโอกาสสังเกตเห็นป้ายบอกถนนในเมืองนี้ที่มีรูปปั้นปลาบึกตัวเล็กๆ
ติดอยู่ที่ด้านข้างของป้าย
แน่นอนว่าต้องเป็นปลาบึก
เพราะปลาบึกเป็นปลาขึ้นชื่อของที่นี่ ไม่เพียงแต่เป็นอาหารอันโอชะในมื้อพิเศษ
ปลาบึกยังเป็นปลาที่อยู่คู่บ้านคู่เมือง คู่ลำน้ำโขงริมเชียงของมาเนิ่นนาน
จนแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไปเสียแล้ว สำหรับเมืองเชียงของ นอกจากเดือนเมษายนของทุกปีจะเป็นเดือนแห่งงานมหาสงกรานต์ที่ยิ่งใหญ่-มีกล้วยอบเนยจากบ้านศรีลานนา
ผ้าทอจากบ้านศรีดอนชัย หรือหัตถกรรมบ้านสถานมาให้ผู้คนได้เลือกสรรกันแล้ว
ยังเป็นช่วงเดือนที่ชาวเชียงของจะทำพิธีบวงสรวงและล่าปลาบึก
เพื่อสืบต่อพิธีกรรมอันยึดโยงชาวเชียงของไว้ด้วยกันนี้ด้วย
หลังจากชมเมืองเชียงของ
เราเดินทางไปยังท่าเรือบั๊ค เพื่อข้ามฝั่งไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การข้ามฟากไปยังอีกฝังง่ายดายราวนั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา
เพียง 30 บาท เราก็ได้เข้าไปนั่งในเรือรับจ้างลำใดลำหนึ่งซึ่งมีอยู่มากมายริมสองฝั่งแม่น้ำโขง
แม่น้ำโขงที่คั่นกลางระหว่างเชียงของ-ห้วยทรายเป็นแม่น้ำโขงที่ไม่กว้างนัก
ในเวลาไม่ถึง 2 นาทีเราจึงข้ามไปถึงดินแดนลาวได้โดยสวัสดิภาพ


ด้วยสภาพของเมืองชายแดน, ห้วยทรายก็ไม่ต่างจากเชียงของ ตลาดที่นี่เต็มไปด้วยสินค้าที่ไหลทะลักมาจากเมืองไทย ที่มีมากไม่แพ้กันคือของจากเมืองจีน ทั้งของใช้ เสื้อผ้า อาหารและขนมขบเคี้ยว รถรับจ้างจากเมืองลาวพาเราตระเวนรอบๆ แขวงบ่อทราย ตลาดอินโดจีนหรือที่คนลาวเรียกว่า “ตลาดจีน” เป็นสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวจากต่างแดนต้องมาแวะ ตลาดที่นี่คือหลักฐานชั้นเยี่ยมที่ยืนยันให้เห็นว่าชาวจีนและสินค้าจีนเดินทางหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มากเพียงใด จากนั้นเราเดินทางไปตลาดลาว แม้จะไม่ใหญ่เท่าตลาดจีน แต่คึกคักและมีชีวิตชีวากว่าอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเป็นตลาด “ของจริง” ที่เป็นศูนย์รวมสินค้าอุปโภคบริโภคของชาวลาว ผักสด เนื้อหมูเนื้อไก่ ขนมขบเคี้ยว รวมทั้งเสื้อผ้าและเครื่องใช้อื่นๆ หาได้ทั้งหมดที่นี่ แม้แต่ศูนย์ให้บริการ 3G ก็ยังอยู่ในบริเวณตลาด
หลังจากทัวร์ตลาดและเดินลัดเลาะไปตามบ้านเรือนในเมืองห้วยทราย เราเดินเที่ยววัดในเขตลาวเท่าที่สองเท้าจะพาก้าวเดินไปได้ เมืองลาวเป็นเมืองที่วัดมากไม่ต่างจากเมืองไทย แต่วัดของลาวเท่าที่สังเกตได้จะไม่เน้นความวิจิตรบรรจง การตกแต่งอันวิจิตรพิสดารเท่าวัดไทย หากแต่จะเน้นใช้สีสันจัดจ้านของโบสถ์วิหาร พระพุทธรูป และจิตรกรรมฝาผนังเป็นสื่อกลางเพื่อส่งสารแก่พุทธศาสนิกชนและเหล่าผู้มาเยือน
เราเดินชมบ้านเมืองจนเย็นย่ำ ห้าโมงกว่าๆ จึงข้ามฝั่งกลับไปยังไทยเนื่องจากนายด่านเตือนเมื่อครั้งข้ามเข้ามาว่าด่านจะปิดเวลาหกโมงตรง ด่านตรวจคนเข้าเมืองยามเย็นเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เสียงพูดคุยหยอกล้อและหัวเราะร่าของพวกเขา ทั้งพวกที่ข้ามมาจากไทย และพวกที่กำลังจะกลับไปยังฝั่งไทย ทำให้เราอดปลื้มใจไม่ได้ว่าประเทศของเราและประเทศเพื่อนบ้านยังมีสิ่งดีๆ ที่ทำให้คนต่างถิ่นมาสัมผัสและมีความสุข

5.
เช้าวันที่สามที่เชียงของ
เราตื่นในเวลาที่เร็วเกินกว่าจะเรียกว่าเช้า
ตีสี่ครึ่งสำหรับคนทั่วไปอาจจะยังเช้าสำหรับเริ่มต้นวันใหม่
แต่สำหรับตลาดเช้าหรือ “กาดเช้า” ใกล้ๆ ที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงของ
เวลาตีสีครึ่งถึงตีห้านั้นก็ถือว่า “สาย” เสียแล้ว
“เอารังผึ้งไหม
นี่เหลือชิ้นสุดท้าย เดี๋ยวตลาดจะวายแล้ว” พ่อค้าขายขนมรังผึ้งร้องบอกเราในเวลาตีห้า
ใช่,
ตีห้าคือเวลาใกล้ตลาดวาย
สืบความมาได้ว่าตลาดเช้าที่นี่เปิดขายตั้งแต่เวลาตีสามถึงหกโมงเช้า
ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะออกมาจับจ่ายสินค้ากันตั้งแต่เวลาตีสามถึงตีสี่
ทั้งวัตถุดิบเช่นผักและเนื้อ ทั้งอาหารปรุงเสร็จทั้งอาหารคาวอาหารหวาน ทั้งหมดหาซื้อได้ที่นี่
แม้กระทั่งลอตเตอรี่ซึ่งนิยมขายกันอยู่หลายเจ้า กาดเช้าแห่งเชียงของจึงเป็นหนึ่งในตลาดเช้าที่คึกคักมากที่สุดเท่าที่เราจะได้พบ
ฟ้าเริ่มสางหลังจากเราเดินออกมาจากตลาด
ถนนหนทางในเชียงของยังว่างโล่ง
เราเดินเล่นกันกลางถนนประหนึ่งเป็นถนนคนเดินอย่างแท้จริง เดินลัดเลาะถนนไปจนถึงริมแม่น้ำโขง
แม่น้ำโขงยามเข้าสวยราวภาพวาด อากาศเย็น หมอกลงจางๆ พอให้รู้สึกถึงการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล
แม่น้ำทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แต่เข้านี้ที่นี่ไม่ได้มีเพียงเรา
หากยังมีชาวบ้านผู้ใช้พื้นที่ริมน้ำเป็นแปลงเกษตรขนาดย่อม ปลูกพืชผักสวนครัวนานาชนิดอีกด้วย
เราไม่รอช้า
เดินเข้าไปใกล้คุณลุงคนหนึ่งผู้ดัดแปลงพื้นที่ริมโขงเป็นพื้นที่ปลูกถั่วงอก
มองดูเขาลำเลียงถังทรายมาไว้ริมโขงถังแล้วถังเล่า เมื่อแอบชะโงกดู ภายในถังแต่ละถังเต็มไปด้วยถั่วงอกผลิยอดแตกใบขาวอวบน่ากิน
“ปลูกเอาไว้ประมาณห้าวันก็เอาไปร่อนทรายออก
ปลูกเอาไปขายที่กาดเช้านั่นแหละ ผักที่ขายที่นั่นก็ปลูกกันแถวนี้ทั้งนั้น” คุณลุงบอกพร้อมสาธิตวิธีร่อนทรายออกจากถังปลูกถั่วงอกให้เราได้ชม
สำหรับเมืองธรรมดาเช่นเชียงของ
อาชีพเกษตรกรรมยังคงเป็นอาชีพหลักของชาวบ้าน โดยเฉพาะการปลูกผักสวนครัวริมลำโขงเช่นที่เห็นนี้
เราจึงเห็นว่าเมืองเล็กแห่งนี้ไม่เคยขาดแคลนพืชผักสดใหม่ไว้ใช้ปรุงอาหารเลย
ยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นริมน้ำอยู่พักใหญ่
เราก็ได้พบคุณแม่ยังสาวชาวญี่ปุ่นพาลูกชายเล็กทั้งสองมาสูดอากาศยามเช้าริมโขง
ได้สนทนากันเล็กน้อยจึงพบว่าเธอเป็นชาวญี่ปุ่นที่ย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดมาอยู่ที่เชียงใหม่ได้หลายปีแล้ว
ช่วงนี้มีเวลาว่างจึงได้พา “ยูตะคุง” และ “เซตะคุง”
หนุ่มน้อยตัวจิ๋วมาเที่ยวเมืองชายแดนแห่งนี้ ด้วยความที่อยู่เมืองไทยมานาน
เธอจึงพูดภาษาไทยได้คล่อง เราจึงมีโอกาสได้ต่อบทสนทนากับเธออีกเล็กน้อยก่อนแยกทาง
เราเอ่ยลากันในยามที่แสงอาทิตย์ฉาบทาทั่วท้องฟ้า
นอกจากคุณแม่ยังสาวผู้นี้
เชียงของยังเต็มไปด้วยนักเดินทางชาวต่างชาติที่แวะเวียนมาชื่นชมความงามของธรรมชาติอีกหลายต่อหลายคน เกือบทั้งหมดเดินทางมาแบบแบ็กแพ็ค
แต่งตัวทะมัดทะแมง สะพายเป้ซึ่งใหญ่กว่าที่ไหล่และแผ่นหลังน่าจะแบกรับได้
สงบเสงี่ยมและดูมีรสนิยมวิไล
ใช่,
นักท่องเที่ยวที่เมืองนี้โดยส่วนใหญ่มาฐานะนักเดินทางผู้เพลินทาง
มิใช่นักท่องเที่ยวผู้มาตามกระแสความนิยมเท่านั้น

6.
เราบอกลาเชียงของด้วยเส้นทางสาย
“เชียงของ-พญาเม็งราย-เชียงราย”
เส้นทางสายใหม่ที่เป็นป่าเขาและเต็มไปด้วยทางคดเคี้ยวมากกว่าขามา
แต่ความรู้สึกเมื่อยามได้เปิดหน้าต่างให้กว้างสุดกว้าง มองออกไปให้ไกลสุดลูกหูลูกตานั้นก็ทำให้หัวใจพองโตได้ไม่ต่าง
ความเป็นธรรมดาและธรรมชาติของเมืองทำให้ใครก็ตามที่เดินทางมาสัมผัส
หลวมตัวหลงรักเมืองนี้ได้ไม่ยาก
หากจะเปรียบไปแล้ว
เสน่ห์ของเชียงของก็เหมือนเสน่ห์ของหญิงสาวผู้น่ารักและมีชีวิตชีวา มากกว่าหญิงสาวผู้สวยสะพรั่ง
– เป็นความสวยที่ต้องใช้เวลาในการพิจารณา
ต้องใช้ดวงตาที่สามเพื่อมองให้เห็นความพิเศษที่ซ่อนอยู่ในความธรรมดา และหากจะว่ากันตามจริงแล้ว
ความสวยที่ไม่น่าเบื่อเช่นนี้ก็น่าอยู่ใกล้ๆ เพื่อค้นหามากกว่าความสวยที่ประจักษ์ชัดเมื่อแรกสบตาเป็นไหนๆ
0 comments:
Post a Comment