Tuesday, April 30, 2013

ความสุขบนเส้นทางที่เลือก



ความสุขบนเส้นทางที่เลือก




กล้า
บางประโยคใน "กุหลาบที่หายไป" บอกว่า
"มีแต่คนที่กล้าก้าวออกมาจากสิ่งที่ดีเท่านั้น ที่จะได้สิ่งที่ดีกว่า"
ส่วนเราบอกตัวเองว่า
เราจำเป็นจะต้องเสียบางอย่างเพื่อที่จะได้บางอย่างมา
ชีวิตอยู่ที่การเลือก
ใช่, ชีวิตอยู่ที่การเลือก
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เราต้องเลือก
เพียงแค่กล้าที่จะเลือกเท่านั้น


เลือก
เราเคยตัดสินใจออกจากงานเก่า
บางช่วงขณะที่เคว้งคว้างไร้จุดหมาย
เรากล่าวโทษตัวเองที่ไม่อดทน
แต่สุดท้ายการออกมาก็ทำให้เราได้พบเจองานใหม่ที่ถูกใจยิ่งกว่า
เราตัดสินใจที่จะทำงานที่ทำให้เราต้องร้องไห้ทุกวันต่อไป
เราตั้งคำถามต่อตัวเองหลายครั้ง ถามหาเหตุผลที่ยังทนอยู่ แต่ไม่เคยตอบได้
ญาติพี่น้องไม่ยอมรับ หลายคนไม่เข้าใจ
แต่วันหนึ่งเรากลับได้นำประสบการณ์จากการทำงานที่นั่น
มาเป็นข้อมูลในการตอบคำถามของกรรมการ
จนเราสอบผ่านได้เป็นนักเรียนทุนอย่างวันนี้


ดี-ไม่ดี
หลังจากต้องตัดสินใจเลือกทางเดินให้ตัวเองมาหลายครั้ง
เราคิดเหมาเอาเองว่า
การเลือกทุกอย่างไม่มีถูก ไม่มีผิด ไม่มีดี ไม่มีไม่ดี
การเลือกคือสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว
ทุกครั้งที่เราเลือก จึงไม่ใช่การชี้ชะตาให้ชีวิตว่า
เรากำลังเดินไปสู่ทางที่ถูก หรือกำลังมุ่งหน้าไปสู่ทางที่ผิด
เราเพียงแต่เลือกทางนี้ - ทางที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้น


ความสุข
ครูเคยบอกว่า
"ความถูกต้องเหมาะสมนั้นอยู่ที่ไหน
ก็อยู่ที่ความสุขเป็นสำคัญ
เมื่ออยู่และทำงานอย่างมีความสุข
นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเริ่มต้น"
วันนี้
คงถึงเวลาเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้ตัวเองแล้วกระมัง


Patha V

Thursday, April 25, 2013

Getting Sick


พี่ขอโทษด้วย ที่อาทิตย์ที่แล้วหายไป สุขภาพกายและใจย่ำแย่มากอาทิตย์ที่แล้ว พี่หวังว่ามันคงเป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดของปี 2556 และหวังว่าเรื่องร้ายๆที่ผ่านไปแล้วนั้นจะไม่กลับมาอีกแล้วในปีนี้... ว่าด้วยเรื่องสุขภาพกายย่ำแย่ อาทิตย์ที่แล้วพี่ป่วยทั้งอาทิตย์ พี่ก็เลยได้หัวข้อเรื่องเล่า(บ่น)ของอาทิตย์นี้คือเรื่องระบบสุขภาพของประเทศอเมริกา

ในคืนวันอาทิตย์ในช่วงสงกรานต์นั้นพี่ก็ป่วย แต่ไม่ได้เป็นไข้เหรือปวดหัว แต่เป็นโรคที่โหดกว่านั้นคือ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ พี่เริ่มมีอาการตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ ตอนที่พี่นั่งเล่นเกมส์พี่อยากเข้าห้องน้ำมาก แต่ก็อั้นไว้ก่อนเพื่อที่จะเล่นให้จบเกมส์ (ค่ะ ต่อว่าพี่มาเลย พี่ป่วยเพราะอั้นฉี่ตอนเล่นเกมส์ - -“) ถ้าจะให้เห็นภาพ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกำลังดึงเชือก ดึงจนเชือกขาดแล้วไม่มีความรู้สึกไปเลย พี่เคยเป็นโรคนี้เมื่อสามปีที่แล้ว อาการคือจะปวดฉี่บ่อยมาก และเหมือนฉี่ไม่สุด และพอฉี่เสร็จจะมีอาการปวดแสบบริเวณปลายท่อปัสสาวะ ทรมานมากๆ พอกลางดึกคืนนั้น พี่ก็เริ่มมีอาการ แล้วพี่ก็รู้ตัวว่าโดนเจ้าโรคนี้มันกลับมาคุกคามอีกแล้วแน่ๆ

วันจันทร์พี่ไปทำงาน อาการนั้นก็ยังไม่หายไปไหน และเริ่มแย่ลงหลังจากพักเที่ยง พี่เริ่มเข้าห้องน้ำทุกสิบห้านาที และพอตกเย็น พี่เริ่มเห็นเลือดเป็นลิ่มๆออกมากับฉี่ รู้ตัวว่าไม่อยากไปหาหมอแและคงไปหาหมอไม่ทัน (จะเล่าให้ฟังทีหลังว่าทำไมไม่อยากไปหาหมอ) พี่เลยทำการรีเซิสและอ้างอิงจากกูเกิ้ลได้ว่าคนเป็นโรคนี้ให้ดื่มน้ำเยอะๆและให้กินยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบที่บ้านเรากินกันเวลาเจ็บคอ แต่ที่นี่ยานั้นหายากเพราะต้องให้หมอจ่ายเท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้เองจากร้านขายยาเหมือนบ้านเรา วันนั้นทั้งวันพี่ก็เลยดื่มน้ำไปประมาณสี่ – ห้าลิตร (เรียกว่าสูบน้ำเข้าไปเลยดีกว่า) โชคดีที่เพื่อนคนไทยมียาแก้อักเสบ พี่เลยจะไปเอายาที่เค้าหลังจากเลิกงาน (เนื่องจากไม่ไปหาหมอกูเกิ้ลเลยเป็นทางออกของพี่ในการวินิจฉัยโรค - -“)

แล้ววันนั้นไม่รู้ซวยอะไรไม่รู้ พายุหิมะเข้าเดนเวอร์ สิ่งที่พี่ห่วงที่สุดคือตอนขับรถกลับบ้าน ถ้าอากาศแย่อย่างนี้มันอาจใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วพี่จะไปฉี่ที่ไหน - -“ วันนั้นพี่เลยตัดใจไม่ใช้ Highway ไปใช้ถนนเส้นข้างล่างแทน โชคดีของพี่ ที่พี่ถึงบ้านภายในเวลาแค่สิบห้านาที แต่พอถึงบ้านพี่ไปฉี่อีกครั้ง ฉี่ที่ตอนแรกเป็นสีใสๆปกติแต่ปนกับลิ่มเลือก ได้ออกมาเป็นสีแดงชมพู ซึ่งมันเป็นฉี่ปนกับเลือด เวลานั้นคิดจะไปหาหมอก็คงไม่ทันแล้ว เพราะหมอที่นี่ต้องนัดก่อนถึงจะไปหาได้ ถ้าไปเวลาหลังที่หมอเลิกงาน ต้องเข้า ER (Emergency Room) เท่านั้น ซึ่งแพงหูฉี่ ถึงประกันที่พี่มีมันจะช่วยรองรับค่าใช้จ่ายกันบ้าง แต่ประกันของพี่เป็นแบบที่ $1200 แรกของปี พี่ต้องจ่ายเอง แสดงว่าถ้าพี่เข้า ER เพื่อให้เค้าบอกพี่ว่า “ไปหายาแก้อักเสบมากินซะ แล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ” พี่อาจต้องเสียเงินอย่างต่ำ $500 เลยก็ได้

เรื่องระบบสุขภาพของอเมริกานั้น กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าสู้กับระบบที่ไทยไม่ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจของโลก จะมีระบบสุขภาพที่เทียบไม่ติดกับประเทศเล็กๆบ้านเราอย่างมาก คือที่นี่ ถ้าไปหาหมอต้องทำการนัดก่อน ซึ่งบางกรณีถ้าให้รอก็คงแย่กันก่อนพอดี เช่น เมื่อปลายปีที่แล้ว มีพี่คนไทยที่นี่ไปเล่นสโนวบอร์ดแล้วล้ม กระดูกไหปลาร้าหัก แทนที่จะมีการส่งไปโรงพยาบาลแล้วรับการผ่าตัดทันที แต่ไม่ค่ะ หมอให้ยาแก้ปวดแบบระงับประสาทอย่างแรงมากิน แล้วให้ไปนัดหมอเพื่อทำการผ่าตัดต่อไป พี่ซึ่งเป็นคนจัดการเรื่องนัดหมอ โทรไปหลายที่มาก กว่าจะได้คิวเร็วที่สุดคือวันพฤหัส ลองคิดดูสิ กระดูกหักวันอาทิตย์บ่าย ผ่าตัดวันพฤหัสตอนเช้า และหลังจากที่หักค่าประกันแล้วทั้งหมด พี่คนนั้นเสียค่าหมอไปเป็นแสน ทั้งๆที่ไม่มีการนอนโรงพยาบาลใดๆทั้งสิ้น อีกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงคือ เมื่อสองปีที่แล้วพี่เจ็บคออย่างหนัก จนไข้ขึ้นสูงมาก เลยต้องยอมเข้า ER สิ่งที่พี่ได้รับจากไปหาหมอคือ “กินไทลีนอล แล้วดื่มน้ำเยอะๆนะ” พร้อมทั้งเก็บเงินพี่ไป $100... ในระยะเวลาสองเดือน พี่เข้า ER 3 รอบเสียครั้งละร้อย ได้รับคำตอบเดิมๆ แล้วก็ไม่หายซะที พี่เลยหาทางออกด้วยการไปเอายาแก้อักเสบของเพื่อนมากินถึงจะหาย ถ้าพี่ไม่มีประกันนักเรียน พี่ไม่ได้เสียแค่ $100 ต่อครั้ง แต่เสียเงินทั้งหมดรวมๆแล้วมากกว่า $1,000 ต่อครั้ง


Denver, CO - April 15, 2013



ในคืนนั้นอาการพี่แย่ลงเรื่อยๆ ฉี่ผสมเลือดทุกสิบนาที ดื่มน้ำเท่าไหร่ก็ออกหมด แต่ก็ต้องทนขับรถฝ่าพายุเพื่อไปเอายาจากเพื่อนตอนเวลาสามทุ่ม ถึงตอนนั้นไข้ขึ้นและไม่มีแรง พี่ก็เกรงใจไม่กล้าขอให้คนอื่นขับรถไปเอายามาให้เพราะพายุหิมะตกหนักและลมแรงมาก ตามท้องถนนนี่แทบไม่มีคน และแทนที่จะใช้เวลาไปบ้านเพื่อนแค่ 10 นาที แต่วันนั้นพี่ใช้เวลาทั้งหมดเกือบครึ่งชั่วโมง

ในเวลาที่พี่ป่วยคนที่พี่คิดถึงมากที่สุดก็คือแม่ ถ้าอยู่ไทยพี่คงไปหาหมอได้ทันทีและไม่ต้องมาทนป่วยอย่างนี้ และเวลาป่วยแม่ก็จะช่วยหาข้าวให้กิน แต่อยู่ที่นี่ถึงป่วยแค่ไหนก็ต้องมาต้มมาม่ากินเอง (อาหารหลักตอนป่วยของพี่) และก็ต้องขอบคุณเพื่อนที่คอยคุยอยู่เป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊ค มีเพื่อนคนนึงเป็นห่วงมาก ขนาดออกไปซื้อยาและส่งไปรษณีย์จากไทยมาให้ทันทีหลังจากที่รู้เรื่อง (ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ถึง 55) ...พี่สัญญากับตัวเอง ว่าจะรักษาสุขภาพและไม่อั้นฉี่อีกแล้ว :)



Mellow tiger..







Tuesday, April 23, 2013

ก้าวแรกแห่งการออกเดิน บนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย



ก้าวแรกแห่งการออกเดิน 
บนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย


วันนี้
๒๓ เมษายน ๒๕๕๖
ฉันกลายเป็นคนที่มีอักษรย่อต่อท้ายชื่อว่า "นทร.(สกอ.)"

ชีวิตฉันจะเปลี่ยนไปตลอดกาลหลังจากนี้
ด้วยความเต็มใจของฉันเอง
ใช่, ด้วยความเต็มใจของฉันเอง

ในโอกาสพิเศษอย่างนี้
ฉันกลับไปหาเพื่อนเก่า บอกข่าวดีให้เธอได้รู้
เธอไม่ได้ยินดีกับฉัน
หากแต่ตอกกลับฉันด้วยความจริงอันเจ็บปวด
ที่ว่า
ไม่ว่าฉันจะวิ่งหนีอย่างไร
ฉันก็ไม่อาจวิ่งหนีใจของตัวเองได้พ้น

ฉันหวังให้นี่เป็นก้าวแรกที่ฉันเริ่มออกเดิน
ไม่ใช่เดินเพื่อหนีตัวเอง
แต่เดินเพื่อรู้จักตัวเองให้มากขึ้น มากขึ้น
และสุดท้ายเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับความคิดจิตใจตัวเองให้ได้
ไม่ว่าความคำนึงเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่เราอยากถ่ายถอนออกจากตัวมากเพียงใด

วันนี้นอกจากจะเป็นวันดี วันที่ฉันได้เปลี่ยนสถานะอย่างสมบูรณ์แบบ
ยังเป็นโอกาสพิเศษที่ได้พบศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ
นักอักษรศาสตร์และนักอะไรอีกหลายๆอย่างที่ฉันเคารพนับถือ
พบกันวันนี้ ฉันรู้แล้วว่าคนมีปัญญานั้นเป็นแสงสว่างในโลกนี้อย่างไร

ไม่ใช่ชื่อเสียง ไม่ใช่ความภาคภูมิ ไม่ใช่ใบปริญญา
แต่ "a chance to grow up" คือสิ่งที่เราจะได้จากความเหนื่อยยากหลังจากนี้
อาจารย์บอกว่า การศึกษาคือการแสวงหา ส่วนหนึ่งมาจากการแนะนำของครู
อีกส่วนหนึ่งคือเราต้องค้นหาเอง
แล้วสุดท้ายสิ่งที่เราจะได้ค้นพบก็คือตัวเองนั่นแหละ
เมื่อได้ค้นพบตัวเองแล้วก็จะเริ่มค้นพบสิ่งที่อยู่ในโลกภายนอก

อาจารย์พูดอะไรอีกหลายอย่าง
ประโยคหนึ่งของอาจารย์ที่ฉันจำขึ้นใจคือ
"เรียนวรรณคดีเถอะ วรรณคดีเป็นวิชาเดียวที่คุณนอนเรียนได้!"

สัญญา, เบนเข็มครั้งนี้จะไม่ทิ้งวรรณคดี
จะไม่ทิ้งการอ่านการเขียน
นี่เป็นโลกมหัศจรรย์อีกใบที่ฉันรู้ว่าฉันไม่มีวันหนีพ้น
และก็แน่ล่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหนี

ฉันเติบโตมากับวรรณกรรม ฉันร่ำเรียนวรรณคดี
ฉันอ่าน ฉันเขียน ฉันหลงรักตัวอักษรของผู้คน
ทั้งผู้ที่รู้จักกันเพียงผ่านหน้ากระดาษ ทั้งผู้ที่โลดแล่นอยู่ในชีวิตจริง
ทั้งหมดทั้งมวลคือสิ่งที่หลอมรวมกันเป็นฉันในวันนี้
เพียงแต่ตอนนี้ต้องเลือกเดินหน้าไปกับอีกเส้นทางที่โอกาสเอื้อกว่าเท่านั้น

วันนี้
๒๓ เมษายน ๒๕๕๖
ฉันตัดสินใจพาตัวเองเข้าสู่ศาสตร์ด้านคติชนวิทยา
ร่ำเรียนห้าปี กลับมาสอนสิบปี
อย่างน้อยๆชีวิตในอีกสิบห้าปีหลังจากนี้จะต้องอุทิศให้งานด้านนี้อย่างจริงจัง
นี่คือทางที่ฉันเลือกแล้ว ทำได้เพียงเดินหน้า หันหลังกลับไปไม่ได้แล้ว

แม้จะต้องเดินทางไกล แต่นี่ไม่ใช่การหนี
ฉันยังคงตัดสินใจทุกสิ่งจากหัวใจ
ฉันเลือกไปเพราะสนใจคติชนวิทยา สนุกกับการศึกษาความคิดและชีวิตของผู้คน
ส่วนการเดินทางไกลเพื่อเปิดหัวใจให้กว้างนั้น ฉันเรียกมันว่าผลพลอยได้

และที่สุดแล้ว
ฉันเลือกคติชนวิทยา ใช่ว่าฉันหมดรักวรรณคดี
ฉันเพียงแต่เลือกสิ่งที่เป็นจริงกว่าเท่านั้น



Patha V

Sunday, April 21, 2013

The Sister Journey Part III







That Original Frippo

Tuesday, April 16, 2013

ดอกไม้หลังฝน


ฉันเดินทางกลับบ้านมาในวันที่แดดเดือนเมษาร้อนราวกับเจ้าหญิงอารมณ์ร้าย

สองเดือน คือเวลาที่ฉันไม่ได้กลับมาบ้าน
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ต้นไม้ทยอยร่วงหล่นจากต้น บรรยากาศเริ่มร้อนแล้ง
กลับมาครั้งนี้ ที่ว่าร้อนแล้งในวันนั้นกลับกลายเป็นร่มรื่นไปถนัดตา
สิ่งที่ฉันเห็นในวันนี้คือใบไม้ที่บ้างสีเหลืองแห้งกรอบ บ้างสีเขียวซีดจาง
บ้างสีน้ำตาลเข้มขึ้นๆตามปริมาณองศาของอุณหภูมิ

ความร้อนไม่ได้มาลำพัง แต่ยังพาความแล้งมาด้วย
นอกจากอากาศแสนทารุณ น้ำกินน้ำใช้ยังไหลเอื่อย มีน้อยจนทุกคนรู้สึกได้
ประเพณีสงกรานต์ที่เคยเล่นกัน 4-5 วัน ลดลงมาเล่นกันแค่ 2 วันเท่านั้น
ถัดจาก 2 วันแรก เมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้าง ไร้ร่องรอยการเล่นน้ำ
เสียงผู้คนบ่นกันหนาหู น้ำมีน้อย เราควรใช้สอยอย่างประหยัด
นี่คือความเปลี่ยนแปลงของประเพณี
หรือจริงๆคือสิ่งที่เราควรเรียกว่าวิกฤตของโลก?



































































แล้วจู่ๆ ในคืนวันที่ 2 ที่กลับมาอยู่บ้าน
น้ำจากฟ้าก็โปรยปรายลงมาให้ได้ชื่นใจ
ฝนตกลงมาให้ชื่นฉ่ำอยู่ได้ราวชั่วโมง
พ่อกับแม่ปลาบปลื้มใจ
รำพึงรำพันว่า นี่ก็มากพอให้ต้นไม้เก็บสะสมไปได้ทั้งอาทิตย์
คงจริง, เพราะเพียงแค่กิ่งใบได้สัมผัสน้ำ
สีเขียวซีดจางก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใสราวกับไม่เคยได้เหี่ยวเฉามาก่อน

ฝนหยุดตกนานแล้ว
แต่ไฟที่ดับไปตั้งแต่พายุเข้าก็ยังไม่มา
เราจุดเทียนให้แสงสว่างแทนไฟฟ้า แล้วนอนคุยกันเนิ่นนานในความมืด
เราลงความเห็นกันว่าสำหรับคืนที่น่าจดจำเช่นนี้ คงต้องขอบคุณฝนฟ้าพายุ
ที่ทำให้เราได้มีเวลาพูดคุยใกล้ชิดกันมากขึ้น

รุ่งเช้าวันนี้ วันสุดท้ายที่บ้าน
ฉันตื่นแต่เช้า ออกสำรวจต้นไม้ใบหญ้าหลังผ่านศึกหนักมาเมื่อคืน
ดอกไม้หลายดอกเหี่ยวเฉา หลายดอกหล่นคว้างอยู่ใต้ต้นเพราะโดนลมแรง
แต่กิ่งใบของเธอกลับเขียวสดใสงดงาม พร้อมจะแตกผลิต่อยอดขยายพันธุ์
ชีวิตคนเราก็คงเป็นเช่นนี้ จำเป็นจะต้องสละบางสิ่ง
เพื่อให้บางสิ่งได้เติบโตงดงาม



































































กลับมาบ้านคราวนี้ ฉันมีข่าวดี
ข่าวดีที่ทำให้ทุกคนตื่นเต้น ดีใจ
แต่ก็เป็นข่าวดีที่มาพร้อมกับการตระหนักรู้ว่า
ไม่นานหลังจากนี้ เราจำเป็นจะต้องจากกันไกลอีกครั้ง
ไกลและยาวนานกว่าครั้งใดๆที่เราเคยจาก

ดีใจระคนใจหาย,
ฉันพยายามเก็บจำและเรียนรู้จากภาพการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ดอกไม้...
เพื่อการดำรงอยู่ เราจำเป็นต้องยอมแลกบางสิ่ง
เพื่อบางสิ่งที่เป็นจริงกว่าเสมอ
และฉันก็รู้ดีว่า หลังจากดอกไม้เหี่ยวเฉาหรือร่วงหล่นไป
วันหนึ่งพวกเธอก็จะกลับมาผลิบานอวดโฉมให้ได้ชื่นชมใหม่เสมอ





























































Patha V

Sunday, April 14, 2013

The Sister Journey I And II







That Original Frippo

Thursday, April 11, 2013

Saying Goodbye

 ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาเกือบสามปี พี่ได้บอกลาเพื่อนที่ถูกใจกันหลายคน ถ้าจะนับเป็นรุ่นๆที่มาเรียนกันในแต่ละปี นี่ก็เป็นรุ่นที่สามแล้วที่ทยอยกันกลับไทย เมื่อช่วงปีใหม่ มีพี่ที่สนิทกัน(ที่สุด)กลับไทย เดือนที่ผ่านมาอีกหนึ่งคน วันนี้พี่อีกคน และในอีกสองเดือนข้างหน้า เพื่อนอีกคนก็จะกลับไทย ...การบอกลาใครซักคนเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะคนอยู่ไกลบ้านอย่างพี่

เหมือนเป็นธรรมเนียม ไม่ว่าที่บ้านเราหรือที่นี่ ก็ต้องมีการเลี้ยงส่งเพื่อบอกลาใครซักคน ที่นี่ก็เช่นกัน โดยจะให้เพื่อนที่กำลังจะกลับไทยเลือกว่าอยากกินอะไร แล้วก็นัดเพื่อนๆที่เหลือเพื่อกินเลี้ยงส่งกัน เราเลยมีการนัดกินข้าวกันเย็นวันอังคาร เพื่อเลี้ยงส่งพี่ที่เพิ่งกลับไปวันนี้ โดยพี่เค้าเลือกที่จะกิน King Crab ซึ่งจะต้องขึ้นไปกินบนเขาในเมืองคาสิโนเล็กชื่อ Black Hawk ห่างจากตัวเมืองเดนเวอร์ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เรื่องมันเริ่มสนุกตรงที่ทางพยากรณ์อากาศ ได้มีการเตือนไว้ว่าต้นอาทิตย์พายุหิมะกำลังจะเข้า Colorado หิมะจะเริ่มตกตั้งแต่คืนวันจันทร์ยาวจนไปถึงวันพุธ และหิมะมันจะตกหนักขนาดที่ว่าสายการบินต่างๆ ได้ยกเลิกเที่ยวบินมากกว่า 300 เที่ยวบินเลยทีเดียว

แล้วแทนที่เด็กไทยอย่างพวกเราจะล้มเลิกแผน หรือเปลี่ยนไปกินร้านอาหารใกล้ๆในเมือง แล้วจะรีบกลับบ้านเหมือนคนอื่นๆเค้า แต่ไม่ 55 เราเลือกที่จะเลื่อนนัดการเลี้ยงส่งนี้มาเป็นวันจันทร์แทน ยอมขับรถฝ่าลม ฝ่าหิมะกันเพื่อไปกินกันบนเขา โชคดีที่ถึงแม้ลมแรงและหิมะเริ่มตก แต่มันก็ยังเป็นฝนปนกับหิมะและไม่ใช่ sticky snow ซึ่งทำให้การขับรถไม่ได้อันตรายมากนัก

อาจเป็นเพราะหิมะ ทำให้คาสิโนที่ไปนั้นเงียบเหงามากกกว่าอื่นๆ ร้านอาหารในคาสิโนก็คนน้อย แต่ข้อดีคือเราไม่ต้องต่อแถวในการตักอาหารนาน ปูนั้นก็สดใหม่กว่าที่ได้กินมา การนัดเลี้ยงส่งครั้งนี้พี่สนุกมาก พวกเรากินกันเยอะมาก นั่งอยู่กันเป็นโต๊ะสุดท้าย พี่ ได้ยิ้มและหัวเราะตลอดเวลา มากที่สุดตั้งแต่ที่กลับมาจากไทย (อาการคิดถึงบ้านและการที่ต้องมาปรับตัวและความรู้สึกกันใหม่ ทำให้รู้สึกหดหู่ไปเกือบเดือน) ความสุขที่พี่ได้รับนั้นส่งต่อมาถึงวันถัดมา ถึงแม้พี่จะนอนตีหนึ่งและต้องตื่นเช้าไปทำงาน แต่พี่ก็ไม่ง่วงเลยสักนิด ความสุขที่ได้รับเหมือนเป็นยา หรือฮอร์มนอะไรซักอย่าง ที่ทำให้เรารู้สึก “high” และมีพลังงานในการดำเนินชีวิต คาเฟอีนที่ได้รับจากชาหรือกาแฟยังเทียบไม่ติดเลยซักนิด :)


 “แล้วเจอกันที่ไทยนะ”




Mellow tiger..

Sunday, April 7, 2013

Love You Everyday





That Original Frippo

Tuesday, April 2, 2013

ความทรงจำจากเมืองเกาะครึ่งร้อย (2)



ความทรงจำจากเมืองเกาะครึ่งร้อย (2)
: ชมเหยี่ยว - เที่ยวทั่วตัวเมือง


วันที่ 2 ในตราด เราเริ่มต้นทริปที่ตลาดเช้าเทศบาลเมืองตราด
ว่ากันว่าถ้าเราอยากรู้จักเมืองไหนให้ลึกถึงแก่น
เราต้องไปเดินตลาด(เช้า)ของที่นั่น
พวกเราเลยไม่รอช้า พากันเดินทางไปตลาดเช้า
ตลาดที่ว่ากันว่าคึกคักที่สุดและเป็นศูนย์กลางของเมืองตราดเลยทีเดียว

ตลาดเทศบาลเมืองตราดเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
ของสำคัญไม่ควรพลาดเลยคืออาหารทะเลโดยเฉพาะปลาทะเล
ปลาทะเลตัวใหญ่ๆเบิ้มๆวางเรียงรายกันไปทั่วทุกแผง
มีกระทั่งปลากระเบน ปลาฉลาม ให้เราได้ตื่นเต้นกรี๊ดกราดกัน
นอกจากนั้นยังมีของดีเมืองตราดหายากอีกหลายอย่าง เช่น หอยปากเป็ด
หอยประจำถิ่นของเมืองตราดที่มีลักษณะเปลือกแข็งๆ
และมีหางเป็นเส้นๆยาวๆ ชาวตราดนิยมนำมายำ เรียกว่ายำหอยปากเป็ด
เราลองซื้อมาชิมกัน รสชาติแปกใหม่ดีทีเดียว

ปลาสดๆที่ตลาดเช้าเทศบาล

 เดินตลาดเสร็จหมาดๆ ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมา
เรากระโดดขึ้นรถไปกินข้าวร้านก๋วยเตี๋ยวริมเขื่อน เป็นข้าวมันทะเล
หน้าตาก็โอเค เพียงแต่ให้น้อยและราคาแพงไปนี้ด

กินข้าวเสร็จก็ไปลุยงานต่อ ไปร้านขายพลอย
ตามหาพลอยแดง ซึ่งเป็นหนึ่งในของดีของตราด 
และถือเป็นของฝากน่าซื้อด้วย
ถ่ายภาพพร้อมสัมภาษณ์กันอย่างจุใจแล้วพี่เจ้าของร้านใจดี
เลยให้พลอยเม็ดเล็กๆเรามากันคนละสองเม็ด
เราหยิบอะเมทิสต์ พลอยสีม่วงประจำเดือนเกิดมา
แหม่ พี่เจ้าของนอกจากจะสวยตรึงใจแล้วยังใจดีอีกด้วยนะ แฮะๆ

ตามหาพลอยกันเสร็จแล้วเราก็แวะไปวัดบุปผารามกับด้วย วัดสวยอลังการมาก

ไฮไลท์ของวันนี้อยู่ที่ ร้านอาหารคนพลั ดถิ่น ค่ะ
หลังจากทำงานในเมือง เราก็ตีรถออกไปทางแหลมศอก
ไปกินอาหารทะเลสดๆในบรรยากาศสงบร่มรื่น
ร้านนี้นั่งกินบนแพ บรรยากาศดีมาก เจ้าของน่ารักเป็นกันเอง
ที่สำคัญคือที่หลังร้านจะมีบ่อตกปลาขนาดใหญ่อยู่ ข้างหลังเป็นป่าให่ญ่
เจ้าของร้านเค้าจะให้อาหารปลาในบ่อตรงเวลา
ในเวลาพวกนี้พวกเหยี่ยวแดงที่อาศัยอยู่ในป่าก็จะบินลงมาแย่งอาหารปลา
เป็นภาพที่สวยงามประทับใจเพราะมากันเยอะมาก
มาเป็นฝูงใหญ่ประหนึ่งฝูงแร้งเลยทีเดียว
เจ้าของบอกว่าเดี๋ยวนี้มันจะรู้เวลา ก็จะมารอ
เจ้าของเลยเอาตรงนี้มาเป็นจุดขาย เรียกลูกค้าให้มากินข้าวที่ร้าน
ดูน่าสนใจดีนะ มีจุดขาย แต่ก็แอบรู้สึกหดหู่พอคิดว่า
เหยี่ยวพวกนี้มันหากินเองไม่เป็นอีกแล้ว 
กลายเป็นว่าต้องรอคนมาคอยป้อนให้เป็นเวลาเสมอ

ฝูงเหยี่ยวแดง

เยอะแบบอลังการมากๆ

ดูเหยี่ยวเสร็จเราก็ไปแหลมเกาะปู
ชุมชนชาวประมงบ้านอ่าวช่อ บ้านเปร็ดใน
ก็สนุกสนานกันไป และกลับไปซบอกริมคลองบูติกอีกหนึ่งคืน :)




Patha V