นิทรรศการในวันนี้ชื่อ L’art de Marsi หรือ งานศิลปะของมารศี ศิลปินเจ้าของผลงานคือหม่อมเจ้ามารศีสุขุมพันธุ์
บริพัตร เหตุผลสองประการที่ทำให้ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปดูงานจัดแสดงครั้งคือ หนึ่ง ฉันชื่นชมผลงานของหม่อมเจ้าหญิงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม สอง
งานของหม่อมเจ้าหญิงทำให้ฉันนึกถึงการชีวิตการทำงานที่แรกที่เคยผ่านมา
ฉันรู้จักชีวิตและผลงานของหม่อมเจ้ามารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตรเป็นครั้งแรกจากผลงานของคุณเอียด
นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว
ซึ่งฉันเป็นบรรณาธิการให้เมื่อครั้งยังทำงานเป็นบรรณาธิการต้นฉบับ ในบทความของคุณนิพัทธ์พรชิ้นนั้น
เล่าถึงความประทับใจที่มีต่อผลงานของหม่อมเจ้าหญิง หลังจากต้องตรวจแก้ต้นฉบับ
หาภาพประกอบบทความซึ่งได้แก่ภาพผลงานของหม่อมเจ้าหญิงมาตีพิมพ์ในหนังสือหลายครั้งหลายหน
ฉันก็พบว่าตนเองได้แอบนิยมชมชอบงานของพระองค์ไปด้วยแล้ว วันนี้หน้าที่การงานของฉันเปลี่ยนไป
การได้เห็นป้ายนิทรรศการในวันนี้จึงทำให้คิดได้ว่าฉันเคยชอบงานของศิลปินผู้นี้และทำให้ระลึกถึงการทำงานในครั้งนั้นด้วย
หม่อมเจ้ามารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นพระธิดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรและหม่อมราชวงศ์พันธ์ทิพย์ บริพัตร(เทวกุล)
ประสูติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2474 ณ
วังบางขุนพรหม หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมปีที่
6 ท่านได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ฝรั่งเศส และประเทศสเปน ท่านชื่นชอบงานศิลปะ มีงานของตนเองมากมาย และได้จัดแสดงผลงานในฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง พ.ศ 2513 เสด็จไปพบเมืองเล็กๆ
ชื่อ Annot
บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง
Nice เป็นเมืองเล็กๆในหุบเขา
ก็ทรงตกหลุมรักในเสน่ห์ของเมืองแห่งนี้และตัดสินพระทัยซื้อที่ดินบนเนินเขานั้นสร้างสตูดิโอและประทับอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบัน
ภาพวาดของหม่อมเจ้าหญิงในครั้งนี้เดินทางมาไกลจากฝรั่งเศส ภายในนิทรรศการนอกจากจะจัดแสดงประวัติของหม่อมเจ้ามารศีอย่างละเอียดแล้ว
ยังได้นำผลงานภาพวาดชิ้นเยี่ยมของพระองค์มาจัดแสดงด้วย
ความรู้สึกชอบจากการได้เห็นภาพของพระองค์ในหนังสือเปลี่ยนเป็นความชื่นชมอย่างลึกซึ้งจริงใจเมื่อได้มายืนอยู่ต่อหน้าภาพจริงในวันนี้ ภาพวาดของหม่อมเจ้ามารศีเกือบทั้งหมดนั้นเป็นแนวเหนือจริง
มักเป็นภาพคน สัตว์ และกึ่งคนกึ่งสัตว์
เช่นช่วงบนเป็นหญิงสาวสวย ช่วงล่างมีขาเหมือนม้า หรือเหล่ามนุษย์ที่มีหัวเป็นหมา
แมว กระต่าย นก ฯลฯ
โดยส่วนใหญ่มักเป็นภาพที่แฝงสัญลักษณ์ของเรื่องลึกลับ ตำนานปรัมปรา และแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตและความตาย
ภาพของหม่อมเจ้ามารศีมักสะท้อนให้เห็นการเดินทางมาพบกันระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝัน
รวมทั้งความรื่นรมย์แห่งชีวิตและความทุกข์เศร้าของการตายจาก
บางภาพเป็นภาพหญิงสาวตัวแทนแห่งการมีชีวิตเริงรำอยู่กับชายหนุ่มผู้เป็นโครงกระดูก บางภาพชี้เห็นความงดงามของการมีชีวิต
มีดอกกุหลาบโปรยลงมาประดับฉากความรื่นรมย์แต่เบื้องบนภาพนั้น
ผู้ที่โปรยกลีบกุหลาบลงมาก็คือเหล่าซาตานทูตแห่งความตาย
เมื่อดูงานของหม่อมเจ้าหญิงทั้งหมดจึงจะเห็นแนวคิดที่บอกว่าทั้งชีวิตและความตายนั้นต่างเป็นส่วนผสมอย่างละครึ่งแห่งจักรวาลนี้ที่เราไม่อาจปฏิเสธได้
เดินดูงานจนหมดห้อง รู้สึกทั้งหดหู่และประทับใจ
หดหู่ต่อความจริงว่าโลกนี้มิได้มีแต่ด้านสวยงามแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ขณะเดียวกันก็ประทับใจว่าบางครั้งความหดหู่หม่นหมองก็เป็นความงดงามอย่างหนึ่งที่เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เดินดูบางภาพที่ประทับใจอีกรอบด้วยความรู้สึกเต็มตื้น
วันที่หดหู่ได้รับการเติมเต็มจากการได้ดูงานเปี่ยมคุณค่า และไม่รู้รู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าใบหน้าของคนในภาพวาดส่วนใหญ่ละม้ายพระพักตร์ของหม่อมเจ้ามารศี คงมีส่วน, เพราะศิลปะ
ท้ายที่สุดแล้วคงไม่อะไรอื่น นอกจากการเติมเต็มความแหว่งเว้าในใจของเราเอง
Patha V
0 comments:
Post a Comment