Wednesday, December 3, 2014

Elwood beach


Elwood เป็นชายหาดเรียบๆ คั่นกลางระหว่างชายหาดยอดนิยมอันดับหนึ่งของเมลเบิร์นอย่าง St Kilda และชายหาดยอดนิยมอันดับสองอย่าง Brighton ถ้าเทียบกับหาดอื่นๆ ในฝั่งตะวันออกของเมลเบิร์น Elwood น่าจะเป็นหาดที่การคมนาคมขนส่งไม่ค่อยเอื้ออำนวยนักหากไม่ใช่คนท้องถิ่นเนื่องจากทั้งรถรางและรถไฟไม่ตัดผ่าน

เราเดินทางด้วยรถไฟจากสถานี Glenferrie ลงสถานี Richmond เพื่อเปลี่ยนขบวนรถไฟเป็นสาย Sandringham มุ่งหน้าสู่สถานี Elsternwick ต่อบัสสาย 606 ที่ขึ้นบัสก็หาไม่ยาก ลงรถไฟแล้วก็เลี้ยวซ้ายสองรอบก็จะเจอที่ขึ้นรถบัส มีสองฝั่งนะคะ เราก็ตาถั่วเป็นทุนเดิมมองอะไรไม่ค่อยจะเห็น จนรถเกือบจะออกแล้วนั่นแหละถึงเพิ่งจะเห็นว่าต้องข้ามถนนไปขึ้นอีกฝั่ง เราจำไม่ได้ว่าลงป้ายไหน แต่จำได้ว่านั่งเลยป้ายที่ต้องลงไปสองสามป้ายได้ แต่ไม่ต้องกลัวนะคะเพราะแต่ละป้ายก็ห่างกันไม่มากหรอก เดินกันได้อยู่แหละ ลงแล้วก็เดินอีกนิดหน่อยข้ามถนนก็จะเจอหาดแล้วค่ะ

เชื่อไหมว่านี่เป็นครั้งที่สองที่เราได้ขึ้นบัสใน Melbourne หมายถึงในเขตตัวเมืองนะคะ ครั้งแรกขึ้นเมื่อกลางปีตอนย้ายไปอยู่บ้านพี่แถว Newport ไม่ได้ตั้งใจขึ้น แต่รถไฟซ่อมราง ทางเดียวที่จะกลับบ้านได้ก็คือรถบัส แล้วคิดดูกลางค่ำกลางคืนป้ายเป้ยอะไรก็มองไม่เห็นแล้ว รู้นะว่าลงตรงไหนแต่อารามระแวงกลัวเลยป้ายเราก็นั่งคอยืดคอยาวมาตลอดทางจนคุณป้าข้างๆ คงเห็นว่าอีหนูนี่อาการไม่ดีเลยชวนคุย แล้วบังเอิญว่าลงป้ายเดียวกัน เราเลยเก็บคอแล้วหันไปเปิดปากคุยกับคุณป้าแกแทน

กลับมาเที่ยว Elwood กันต่อดีกว่าเนอะ หาดนี้ทรายขาวนะคะ ไม่เหลืองพัทยาเหมือนหาดใกล้เคียง แต่ก็ไม่ได้ขาวขนาดเกาะทางภาคใต้บ้านเรานะ วันที่ไปก็มีหนุ่มสาวมานอนอาบแดดประดับหาดพอสวยงาม น้องหมาเยอะมาก ไมโล(Golden Retriever)เพียบ เห็นแล้วก็คิดถึง That Original Milo ขึ้นมาทันที

จุดขายของ Elwood น่าจะเป็น Point Ormond ที่ตั้งอยู่บนเนินที่สูงที่สุดของหาด เราเรียกสิ่งก่อสร้างนี้ว่า"เก้าอี้"ค่ะ จริงๆ มันก็ไม่เหมือนเท่าไหร่หรอกนะคะ แต่สำหรับเราพอเห็นปุ๊บความคิดที่ว่ามันคือเก้าอี้ก็ผุดขึ้นมาปั๊บเลยค่ะ! จากจุดนี้สามารถมองเห็นตึกน้อยตึกใหญ่ของ City of Melbourne ได้อย่างชัดเจน จากที่มีโอกาสไปมาก็หลายที่อยู่เราว่าที่นี่น่าจะเป็นจุดชมเมืองที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้

Melbourne เป็นเมืองรักสุขภาพค่ะ ทุกหาดจะมีเลนสำหรับนักวิ่งน่องโป่งและนั่งปั่นน่องเหล็กเอาไว้ต่างหาก บางทีเราก็งงว่าแล้วนักเดิน(น่องอะไรดี?)อย่างเรานี่ต้องเข้าเลนไหนกันแน่เพราะดูจะเกะกะในสายตาของทั้งนักวิ่งและนักปั่นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน!!!



That Original Frippo

Sunday, November 16, 2014

3 months in NC



10 พฤศจิกายน 2557
ครบรอบ 3 เดือนพอดีที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา 
ที่เมือง Chapel Hill รัฐ North Carolina






รู้ตัวอีกทีก็ผูกพันกับป่าชาเพลฮิลล์ไปแล้ว โดยเฉพาะเวลาหนีออกไปเที่ยวนอกเมืองไกลๆแล้วกลับมาถึงจะรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ เมืองนี้จะไม่มีอะไรเลย ไม่มีแสงสีเสียง ไม่มีที่เที่ยวฮิปๆเก๋ๆ ไม่มีห้าง ไม่มีรถไฟฟ้า ฯลฯ แต่มันก็มีอะไรให้ทำอยู่ตลอดเวลา ช่วงนี้ป่าเปลี่ยนสีแล้วที่นี่เลยยิ่งสวย แค่เดินถ่ายรูปต้นไม้ก็ใช้เวลาให้หมดไปได้ทั้งวันแล้ว 

คนก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับที่นี่ ทั้งเพื่อนฝรั่งทั้งครูทั้งพี่ๆคนไทย พี่คนนึงเคยบอกว่ามันต้องเป็นโชคชะตาแน่ๆที่ทำให้เราเลือกเรียนที่นี่แล้วก็ได้มารู้จักกันแบบนี้ ก็ถ้ามันจะเป็นโชคจริงๆเราก็ถือว่ามันเป็นโชคดีมากๆ ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ท้ายที่สุดเราเลือก UNC  

ไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่คนไม่รู้จักก็สร้างเซอร์ไพรส์ให้เราได้เสมอ เมื่อวันก่อนไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน ตอนแรกก็แค่กะจะไปเดินเล่นซื้อขนมปรากฏช็อปปิ้งเพลินไปหน่อยเลยได้ของกลับมาสี่ห้าถุง! ไม่รู้ทำไปได้ยังไงแต่ในเมื่อทำไปแล้วก็ต้องหิ้วของพะรุงพะรังขึ้นเนินเดินไปป้ายรถบัสฝั่งตรงข้าม ระหว่างที่เดินข้ามถนนอยู่นั้นเองก็มีรถคันนึงที่จอดติดไฟแดงอยู่บีบแตรให้ เปิดกระจกแล้วตะโกนถามออกมาว่าไปไหนไปส่งมั้ย รีบขึ้นมาเร็วๆ แวบแรกก็เกรงใจแต่ด้วยความที่ของหนักมากก็เลยรีบวิ่งไปหาสาวสวยเจ้าของรถ บอกว่าชั้นไปสี่แยกข้างหน้านี้เองเธอผ่านมั้ย เธอบอกว่ารีบขึ้นมาก่อนเถอะ เราก็เลยได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถในท้ายที่สุด 

เธอบอกเธอชื่อเกรซ ทำงานอยู่ที่ Durham เมืองข้างๆ แล้วก็คุยอะไรกันอีกนิดหน่อยว่าเราเรียนอะไรมาจากไหน เราก็กล่าวขอบอกขอบใจเธอไปยกใหญ่แล้วถามว่าเธอกำลังจะไปไหน เธอบอกว่าจริงๆเธอไม่ได้มาทางนี้หรอกแต่วิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วเห็นเราหอบของเยอะแยะมากมายเลยวนรถกลับมาจะไปส่ง เธอบอกว่าเมื่อก่อนตอนยังไม่มีรถเธอก็เคยแบกของเยอะๆแบบนี้มารอบัสเหมือนกัน เธอเข้าใจมากๆว่ามันเหนื่อยแค่ไหน เธอเลยตัดสินใจวนรถมารับ! 

จุดนั้นมันพีคมาก เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่มากๆเพราะยังมีคนใจดีแบบนี้ นี่เลยเป็นอีกเรื่องประทับใจที่มีต่อที่นี่ เราไม่รู้เลยจริงๆว่าถ้าเราอยู่ในเมืองใหญ่จะมีใครทำแบบนี้ให้คนที่ไม่รู้จักไหม แต่เพราะที่นี่คือ Chapel Hill คือ NC คือรัฐเล็กๆที่ไม่ต้องรีบร้อนไปไหนหรือแข่งขันอะไรกับใครมากมาย เราจึงยังได้พบเจอคนดีๆและมีคนดีๆอยู่รายล้อมเสมอ






Saturday, November 8, 2014

MissG aka Dee for that handsome barista at starbucks


I didn’t think before I would like her as much as I do today. She’s the one who I feel very comfortable to hang out with. She is the one who makes me laugh until my belly hurts by her simple words. She is the one who I have never felt annoyed when she is around me. She is the one who is the reason why I have never skipped a Friday class. She is the only one here who I can say she is my close friend.

She sometimes reflects who I am, and on the other hands she shows me a kind of person who I can’t be.  She often says she is mean, but she’s far from that word in my eyes. When she gets angry at someone, she just talks about the point that pisses her off. She rarely gossip about something that is out of topic and this is another thing I can learn from her. She often says she isn’t good at this and that, but actually she’s better than she thinks she is, and I’m very proud of her.

Not only relationship that needs the ‘right place and right time’ thing, friendship too.



That Original Frippo

Saturday, November 1, 2014

Blue sky fan god



G.O.D คืออีกหนึ่งบอยแบนด์จากแดนกิมจิในดวงใจของเราเคียงคู่มากับ Shinhwa แต่ต่างตรงที่เราไม่ได้ติดตามทุกก้าวย่างของ G.O.D ไม่ได้เป็นแฟนพันธ์แท้ถึงขนาดรู้ทุกเรื่องราว ไม่ได้เริ่มชอบด้วยรูปลักษณ์ แต่เราชอบ G.O.D เพราะผลงานล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงโปรโมตหรือเพลงหน้า B พวกเขาไม่เคยทำให้เราผิดหวัง มันออกมาดีตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงอัลบั้มล่าสุดที่กลับมารวมกันอีกครั้ง มีหลายเพลงที่เราร้องคลอได้เกือบทั้งเพลง แต่เราเกือบลืมไปแล้วว่ามันเป็นเพลงของ G.O.D ไม่ใช่แค่เพลงแต่รวมถึง Yoon Kye Sang ที่เราเกือบลืมไปแล้วว่าพ่อหนุ่มตาตี่ขวัญใจสมัยมัธยมของเราคนนี้ก็เป็นอดีตสมาชิกของวงนี้ด้วยเช่นกัน 

จริงๆ เราแทบไม่ได้สนใจวงการบันเทิงเกาหลีแล้วด้วยซ้ำ เหมือนมันหมดวัยไปแล้ว แต่พอเราได้ฟังเพลงนี้ของ G.O.D ได้รู้ว่าพวกเขากลับมารวมตัวฉลองครอบรอบ 15 ปี ความรู้สึกมันดีใจ มันกระตุ้นความคิดถึง อยากดูคอนเสิร์ต อยากฟังเพลง อยากดูภาพเคลื่อนไหว อยากเห็นว่าแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน พอได้ดูได้เห็นมันเหมือนกับว่าเราได้เจอเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน เวลาเห็นพวกเขายิ้มเราก็ยิ้มตามไปด้วย โดยเฉพาะรอยยิ้มอายๆ ของ Kyesang และรอยยิ้มสดใสของ Hoyoung มันมีความหมายมาก ไม่ใช่เพราะเราชอบสองคนนี้ที่สุดแต่เพราะภายใต้รอยยิ้มเหล่านั้นมันถ่ายทอดเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของพวกเขา มันเป็นรอยยิ้มที่เราเห็นแล้วเรารู้สึกได้เลยว่าพวกเขามีความสุขมาก แล้วก็แอบมีน้ำตาคลอด้วยความคิดถึง เพราะสมัยนั้นเราบ้าคลั่งอะไรแบบนี้มาก

แม้วันนี้เราจะโตขึ้นจากเด็กมัธยมต้นเป็นสาววัยเฉียดสามสิบ พวกเขาก็ผ่านพ้นวัยหนุ่มน้อยเป็นหนุ่มใหญ่เต็มตัว แต่ความรู้สึกในวันเก่าๆ มันก็แทรกซึมอยู่ข้างในความรู้สึกไม่เคยหายไปไหนเลย



That Original Frippo

credit: picture

Friday, October 24, 2014

Quote we like




"If I could be like Albert Einstein
I'd rather just be dumb and be with you

....

With you I can be myself
With you I don't have to be somebody else
It's like puttin on my favorite pair of shoes
I like to be with me, when I'm with you"


- "I Like To Be With Me When I'm With You", Drew Holcomb and the Neighbors

Friday, September 26, 2014

Bells beach 2014



แม้การศึกษาคือเหตุผลหลักของการย้ายถิ่นฐานชั่วคราวมาออสเตรเลีย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวของการเดินทางมาที่นี่ เรายังคงตั้งมั่นในการเดินทางรอบประเทศที่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหกของโลกแห่งนี้ เรายังพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในประเทศที่ไม่คุ้นชิน เราพร้อมที่จะคว้าทุกโอกาสที่พุ่งเข้ามา เฉกเช่นเดียวกับการลองผจญภัยในเส้นทางแปลกใหม่

Easter Saturday ที่ผ่านมา เรานั่งรถไฟจากบ้านผ่านตัวเมืองเพื่อเดินทางไป Geelong ต่อรถประจำทาง และกระโดดขึ้นรถ free shuttle bus มุ่งหน้าสู่ Bells Beach สถานที่แข่งขันเซิร์ฟระดับโลกโดยมี Rip Curl Pro เจ้าภาพ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 53 แล้ว

เราไม่แน่ใจนักว่าเราสนใจกีฬาชนิดนี้มานานมากเท่าไหร่ เราเพียงรู้ว่ามันค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาอยู่ในใจเราทีละเล็กทีละน้อยในช่วงวัยเยาว์ และพุ่งพรวดโจนทะยานในช่วงระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา  

เนื่องจากวันพฤหัสและศุกร์สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยจนทำให้ทั้งสองวันกลายเป็น lay day ของการแข่งขัน เช้าตรู่วันเสาร์เราจึงตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อเช็คโปรแกรมการแข่งขันให้ แน่ใจว่ามัน on หรือ off ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่เป็นใจ การแข่งขันเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ระหว่างแต่งตัวเราก็ดูถ่ายทอดสดไปด้วย Nat Young หนึ่งในนักเซิร์ฟคนโปรดของเราก็ทำได้ดีในรอบนั้น แม้วันนี้จะตกรอบสามไปแล้วก็ตาม

จากบ้านที่ Glenferrie เรานั่งรถไฟไปลงที่ Southern Cross สถานีรถไฟที่มีกลิ่นอายของหมอชิตใหม่ลอยอยู่จางๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้บริการรถไฟ V/Line (ไป-กลับ $15.68) เราชอบบรรยากาศระหว่างทางมาก มีแต่ทุ่งนา มองแล้วสบายตาสบายใจ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ใจเราย้ำเตือนให้ตัวเรารู้ว่าถึงแม้เราจะเกิดในเมือง ใหญ่แต่ตัวตนของเรากลับไม่ใช่คนที่สามารถทนทานกับความวุ่นวายแบบนั้นได้นาน นัก

หนึ่งชั่วโมงไม่ขาดไม่เกินเราก็มาถึง Geelong เราต้องรีบออกจากสถานีเพื่อสอดส่องที่จอดรถประจำทางสาย 74 Geelong-Torquay-Jan Jac (ไป-กลับ $4) หากใครเดินออกทางเข้าออกหลักก็จะเจอที่จอดรถประจำทางอยู่ตรงหน้าเลย แต่หากใครออกประตูเล็กเหมือนเราก็เดินตรงแล้วมองขวาไว้ ไม่ไกลเลยเราก็จะเห็นรถประจำทางหลายสายจอดรอเราอยู่

คงเพราะเป็นวันหยุดยาวและประกอบกับที่สองวันก่อนงดการแข่งขัน วันเสาร์ที่ผ่านมาทั้งวัยรุ่นออสซี่และหลายเชื้อชาติต่างพากันมุ่งหน้าไปร่วมงาน หมุดที่ปักไว้ในแผนที่ในหัวแทบไม่ต้องใช้เพราะเมื่อถึงเวลาจริง พวกเขาลงที่ไหนเราก็ลงตามเขาไปนั่นแหละ

สี่สิบห้านาทีผ่านไป ผู้โดยสายค่อนรถลงที่ป้ายรถประจำทางเยื้อง Surf City ซึ่งเป็นที่จอดรถ free shuttle bus โดยรถจะออกทุกๆ ชั่วโมง แต่มีบริการเฉพาะช่วง long Easter weekend ที่ผ่านมาเท่านั้น หากวัดจากระยะทางที่ห่างกันไม่ถึงสิบกิโลเมตร เราใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง Bells Beach เพราะรถเยอะมาก นี่อาจจะเป็นการไปงานเทศกาลที่นี่ครั้งแรกที่มีคนให้ความสนใจขนาดนี้ ไม่สิ! อาจจะน้อยกว่า St Kilda Festival หน่อยนึง

รถลงปุ๊บก็เดินไปต่อคิวซื้อตั๋วเข้างาน แถวยาวมากแต่ไม่ใช้เวลานานอย่างที่คิด ถ้าใครมางานวันเดียวแบบเราค่าเข้าอยู่ที่ $8 ส่วนใครจะมาเกินสามวันก็ซื้อตั๋วแบบ festival pass $25 จะคุ้มกว่า ประเด็นอยู่ที่ลูกเด็กเล็กแดงไม่เกินสิบหกขวบ"ฟรี"

บรรยากาศในงานสนุกสนาน คนเยอะกำลังดี อากาศก็ไม่ได้เลวร้าย ลมพัดทีก็หนาว แดดออกทีก็ร้อน เผลอแป๊ปเดียวฝนก็พรำเม็ดเบาๆ นี่แหละรัฐ Victoria

เจอกันปีหน้าอีกนะ :)



That Original Frippo

Tuesday, September 23, 2014

A walk to remember



คืนวันอังคารที่แล้วกิ๊ฟโทรมาชวนไปลองจิบกาแฟร้านใหม่ เพื่อนของกิ๊ฟเล่าให้ฟังว่ามีร้านกาแฟแถวสถานีรถไฟ Auburn คนซื้อเยอะ รสชาติดี เปิดเช้าตรู่และปิดตอนสิบโมงเช้า ฟังดูน่าสนใจตรงที่เปิดปิดเร็วนี่แหละ กิ๊ฟบอกว่าสงสัยคนขายกลัวรวย เช้าวันพุธเรากับกิ๊ฟเลยนัดกันว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อเดินไปชิมกาแฟเจ้าที่เขาว่ากันว่าอร่อยเจ้านี้นี่แหละ

Auburn คืออีกหนึ่งเขตชานเมืองของ Melbourne ที่เต็มไปด้วยชาวแขกหลายชาติ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ปากีสถาน อิรัก และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งทำให้ราคาที่พักแถวนี้ไม่ถึงกับโหดร้าย แต่เนื่องด้วยเป็นย่านเล็กๆ ที่ยังไม่เจริญมากนักจึงทำให้รู้สึกเปลี่ยวในเวลากลางคืน 

ไม่ถึง 15 นาทีเราก็เดินจากบ้านถึงร้านกาแฟที่ว่า เราถึงบางอ้อว่าทำไมเขาถึงเปิดและปิดเร็ว เพราะร้านที่เราเห็นคือร้านกาแฟรถเข็นที่แฝงตัวอยู่ใต้สถานทีรถไฟ เราสั่ง latte no sugar ตามปกติ คุณลุงคนขายยิ้มแย้มเป็นกันเอง แต่ราคา $4 นี่ดูไม่ค่อยเป็นกันเองเท่าไหร่ถ้าเทียบกับปริมาณและรสชาติ บางทีเรื่องเครื่องดื่มอาหารการกินพวกนี้ก็อยู่ที่รสนิยมของแต่ละคนจริงๆ ถึงแม้กาแฟจะไม่เปรี้ยวแต่สำหรับเราร้านนี้ไม่ผ่าน

เมื่อกาแฟอยู่ในมือ อากาศยามเช้าก็ดี เราก็ไม่ลังเลที่จะชวนกิ๊ฟเดินเล่นไปตาม Auburn Road ซึ่งทำให้เรารู้ว่าย่านนี้นี่เล็กจริงๆ เดินวนไปวนมาอยู่ 2 รอบ กิ๊ฟจึงชวนเดินเลาะไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ในระแวกนั้นเพื่อหาบ้านเพื่อนเวียดนามที่กิ๊ฟอาจจะย้ายมาอยู่ด้วยปีหน้า

เรารักการเดิน ทุกครั้งที่เราออกเดินทางเราแทบไม่เสียค่าเดินทางให้กับขนส่งมวลชนในตัวเมืองต่างๆ เลย เพราะการเดินเท้าทำให้เราเห็นสิ่งเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ตามมุมเมือง แม้จะช้า แม้จะเหนื่อย แต่ทุกครั้งที่เราออกเดินเราก็ได้เรียนและรับรู้เรื่องราวดีๆ กลับมาเสมอ

การเดินในเช้าวันพุธที่ผ่านมาก็เช่นกัน ถ้าเราเลือกกลับบ้านหรือนั่งคุยกับกิ๊ฟที่ไหนสักที่เราคงไม่รู้ว่าย่านเล็กๆ แห่งนี้รายล้อมไปด้วยบ้านสวยๆ และน่ารักมากมาย ตัวบ้านส่วนใหญ่แถวนี้ทาสีขาว รั้วก็สีขาว ถ้าเป็นอิฐก็จะสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Hawthorn Brick ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของสถาปัตยกรรมในย่านที่เราอยู่ 

3 ชั่วโมงกับการเดินช้าๆ เอื่อยๆ ไปกับกิ๊ฟทำให้เราได้เรียนรู้นิสัยใจคอเพื่อนคนนี้ไปอีกขั้น เราเชื่อเสมอว่ามิตรภาพต้องใช้วันเวลาในการงอกเงย และเมื่อมันเริ่มแผ่กิ่งก้านผลใบแล้วมันก็ยังต้องใช้เวลาในการดูแลและประคับประครองไปเรื่อยๆ เรารู้จักกิ๊ฟเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว นับคำได้ที่คุยกันซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเรียน ต่างคนต่างเรียนจบ มาได้คุยกันอีกทีใน Facebook และก็สานสัมพันธภาพกันมาเรื่อยๆ สำหรับเรากิ๊ฟไม่ใช่เพื่อนสนิท เราต่างชอบและสนใจกันคนละแบบ แต่คงเป็นเพราะมันเป็นความต่างที่ต่างคนต่างให้เกียรติและยอมรับซึ่งกันและกัน วันนี้เราพูดได้เต็มปากว่ากิ๊ฟเป็นเพื่อนอีกหนึ่งคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ
"เราถามหน่อยสิว่าทำไมเธอถึงมาเรียนที่มหาลัยนี้"
"เอาจริงๆ แล้วก็เพราะกิ๊ฟอยู่ที่นี่ไง"


That Original Frippo

Thursday, September 18, 2014

Quote we like



"It doesn't matter if it's a relationship,
a lifestyle, or a job.
If it doesn't make you happy,
let it go."

- Unknown

Monday, September 15, 2014

Quote we like



"Stories make us more alive, 
more human, 
more courageous, 
more loving.”

- Madeleine L’Engle

Sunday, September 14, 2014

Everyday may not be good, but there is something good in everyday



นอกจากช่วงเวลาที่เรามีความสุขจะผ่านไปเร็วแล้ว ช่วงเวลาที่เรายุ่งวุ่นวายเข็มนาฬิกาก็หมุนเวียนวนไปเร็วเช่นกัน เผลอแป๊บเดียวการเรียนปริญญาโทก็ผ่านไปหกสัปดาห์แล้ว แม้งานจะถาโถมเข้ามามากมายเพียงใด แม้เราจะบ่นโวยวายให้ใครต่อใครฟังถึงความเหน็ดเหนื่อยที่เรารู้สึก แต่ให้ตาย! เราสนุกสนานกับการเรียนและการทำโปรเจคชะมัด เราเพิ่งรู้ว่าการเรียนในสิ่งที่สนใจมันให้ความรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

ตอนนี้อะไรหลายๆ อย่างเริ่มลงตัวมากขึ้น แม้จะยังหาเพื่อนที่เข้าขากันไม่เจอแต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก เราพยายามปรับความรู้สึกให้ลงตัวกับสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็น หมุนโฟกัสให้ชัดในจุดที่ควรชัด ในขณะที่บางจุดที่ควรเบลอเราก็ไม่ฝืนดื้อดึงปรับให้ชัดอีกต่อไป

เราเริ่มงานอาสาสมัครที่ Kinfolk Cafe ได้เกือบเดือนแล้ว แม้จะไม่ได้สวยงามอย่างที่เราวาดไว้ แต่นี่จะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ อีกหลายเรื่อง บางทีสิ่งที่คิดว่าใช่แต่พอได้ลองทำแล้วก็อาจไม่ใช่อย่างที่คิด เรารู้เลยว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่องานบริการ เราไม่สามารถยิ้มแย้มทักทายผู้คนได้ตลอดเวลา เราอาจมีจิตอาสา แต่ไม่มีจิตบริการ!

อาทิตย์หน้าเป็น mid-break เราตั้งใจจะออกไปถ่ายรูปสร้างสีสันให้ชีวิตมากขึ้น เพราะตลอดหกสัปดาห์ที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้โผล่ไปไหนเลย คิดว่าคงจะมีเรื่องราวสนุกๆ มาเล่าให้ฟัง



That Original Frippo