Friday, May 31, 2013

คาราบาว :: เมดอินไทยแลนด์ | วณิพก | คนล่าฝัน | เสียงเพลงไม่มีวันตาย




เนื่องด้วยภาพยนตร์เรื่อง "ยัง'บาว" ได้เข้าฉายไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา คอลัมน์ Friday Playlist วันนี้จึงขอหยิบยกบทเพลงจากวงดนตรี country rock เลือดไทยวงนี้มาแนะนำ


อย่างที่รู้กันว่าคาราบาวก่อกำเนิดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์จากการรวมตัวสมาชิกปัจจุบันอย่างแอ๊ดและเขียว และอดีตสมาชิกอย่างไข่ที่เป็นทั้งผู้ตั้งและแนะนำให้แอ๊ดเข้ามร่วมวงแต่กลับไม่ได้ออกอัลบั้มร่วมกับคาราบาวเลยแม้แต่อัลบั้มเดียว และเมื่อได้กลับมาประเทศไทยวงคาราบาวก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่อีกหลากหลายคนและได้ร่วมตัวสร้างสรรค์ผลงานเพลงเพื่อชีวิตมาถึงทุกวันนี้


แม้จะไม่ได้เรียกว่าเป็นวงดนตรีโปรดของทั้งพ่อและแม่ แต่ทั้งคู่ต่างก็ชอบเปิดเพลงของวงคาราบาวฟังบนรถยามเมื่อต้องออกเดินทางร่วมกัน เราจึงได้ยินเพลงของคาราบาวมาหลายปีก่อนได้มารู้จักว่าวงดนตรีคาราบาวมีใครบ้างและโด่งดังแค่ไหน หนึ่งเพลงที่เรียกได้ว่าเป็นเพลงระดับตำนานของคาราบาวคือเพลงเมดอินไทยแลนด์ที่มีเนื้อหาแอบเสียดสีกระแสความนิยมวัฒนธรรมต่างชาติในสมัยนั้น เพลงนี้นอกจากจะมีเนื้อเพลงเป็นตัวชูโรงแล้ว การใช้ขลุ่ยไทยเป็นตัวนำในภาคดนตรียังช่วยเน้นย้ำให้เพลงนี้มีความเป็นเมดอินไทยแลนด์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


อีกหนึ่งเพลงที่เป็นที่รู้จักกันดีของชาวเพลงเพื่อชีวิตคือเพลงวณิพก เพลงที่ถ่ายทอดชีวิตของผู้พิการทางสายตาที่ออกมาร้องเพลงหากินเร่ร่อนตามท้องถนนซึ่งเป็นภาพที่เราทุกคนได้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ในส่วนของภาคดนตรีคาราบาวเลือกที่จะใช้จังหวะดนตรีสามช่าตัดอารมณ์เนื้อเพลงที่ฟังดูตัดพ้อ โดยรวมแล้วเพลงนี้จึงเป็นเพลงที่ฟังแล้วได้ความรู้สึกเข้าใจความคิดมิดมากกว่าความท้อแท้ต่อชีวิต


คนล่าฝันเป็นเพลงที่มีดนตรีสนุกสนานแต่ครั้งแรกที่เราได้ฟังกลับมีน้ำปริ่มตาเพราะด้วยเนื้อเพลงที่เตือนสติให้รู้ถึงสัจจธรรมอย่างแท้จริงว่าหยุดเมื่อไหร่ก็จบเมื่อนั้น หากมีแรงก็จงทำมันต่อไปแล้วสักวันความฝันที่ห่างไกลก็จะขยับเข้ามาใกล้เราเอง ทุกวันนี้เรายังคงฮัมเพลงนี้เลี้ยงแรงใจในวันที่รู้สึกว่าชีวิตมันยากลำบากเหลือเกิน


หนึ่งในเพลงที่เราชอบมากที่สุดและคิดว่ามันบ่งบอกถึงมิตรภาพที่แนบแน่นของสมาชิกในวงกับเสียงดนตรีในแบบคาราบาวได้ดีที่สุดคือเพลงที่ชื่อว่าเสียงเพลงไม่มีวันตาย เครื่องดนตรีไทยอย่างขลุ่ยถูกนำกลับมาบรรเลงในเพลงนี้อีกครั้งในช่วงต้นของเพลง ซึ่งนั่นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลในแบบคาราบาว พอเริ่มเข้ากลางเพลงจังหวะสามช่าที่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของวงคาราบาวได้ทำงานถ่ายทอดความสนุกสนานครึกครื้น และเพลงนี้จบด้วยท่อนสุดท้ายของเพลงด้วยประโยคที่ว่า "นี่คือเสียงเพลงหัวควาย ตราบชีพวางวายมิอาจพรากเราจากเพลง" บ่งบอกถึงความเป็นคาราบาวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี


นอกจากทั้งสี่เพลงที่แนะนำ ยังมีอีกหลายเพลงของคาราบาวที่เราชอบฟัง เช่น ทะเลใจ ที่ถูกนำไปร้องใหม่ไม่รู้กี่รอบ มหาลัย เพลงที่มีเนื้อหากระแทกใจนักศึกษาตกงาน และรวมถึง ลมพัดใจเพ เพลงรักที่ร้องโดยเฑียรี่ เป็นต้น





That Original Frippo

Wednesday, May 29, 2013

Internship

เนื่องจากเข้าช่วงซัมเมอร์แล้ว และเป็นช่วงที่เด็กฝึกงานเริ่มเข้ามาที่บริษัท พี่เลยจะขอเล่าเรื่องประสบการณ์ฝึกงานซะหน่อย...ปีนี้ในทีมของพี่มีน้องๆฝึกงานสองคน อายุ 19 และ 22 ปี การที่ตอนนี้มีน้องๆฝึกงานเข้ามาทำให้พี่ซึึ่งเมื่อก่อนเด็กที่สุดในทีมรู้สึกแก่ลงไปมาก ^^”

โปรแกรมฝึกงานของบริษัทพี่จะเริ่มในช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ยาวไปถึงอาทิตย์แรกของเดือนสิงหาคม รวมๆแล้วประมาณ 10 อาทิตย์ ในวันแรกที่ไปถึงก็จะมีการปฐมนิเทศเล็กๆ ซึ่งจะไม่เป็นทางการมากนัก โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลมาแนะนำความเป็นมาของบริษัท กิจกรรมที่เราจะทำ และเรื่องเอกสารต่างๆที่ต้องให้กับฝ่ายบุคคล เช่น ถ้าเป็นนักเรียนต่างชาติก็ต้องมีเอกสารที่เกี่ยวกับวีซ่านักเรียน เป็นต้น หลังจากนั้นก็มีการแจกข้าวกลางวัน ซึ่งตอนนี้จะมีทีมลีดเดอร์ หรือผู้จัดการของเด็กแต่ละคนมาร่วมกินข้าวด้วย เพื่อสร้างความสัมพันธ์กระชับมิตร ในจุดนี้หัวหน้าพี่ชอบเป็นพิเศษ ดี๊ด๊าทั้งวัน ว่าวันนี้ชั้นจะได้กินข้าวฟรี 55

พี่สังเกตว่าการฝึกงานที่บริษัทพี่ จะเน้นให้เด็กฝึกงานมีความรักในบริษัท เริ่มด้วยในวันแรก มีการล่อใจด้วยการแจกของ สมุด ปากกา กระบอกน้ำ (สำหรับพนักงานทั่วไป วันแรกไม่ได้ของแจกอย่างนี้นะจ๊ะ) และมีการโชว์พาวเวอร์พ้อยท์แสดงประวัติ ผลิตภัณฑ์ และความสำเร็จต่างๆของบริษัท นอกจากนั้นแล้วในระหว่างโปรแกรมฝึกงานทางฝ่ายบุคคล ก็จัดกิจกรรมให้ได้พบกับผู้บริหาร เช่นมีการกินข้าวกลางวันกับผู้บริหารทุกวันพฤหัส ก่อนจบโครงการก็มีการไปกินปาร์ตี้อย่างหรูที่ “คฤหาส” ของผู้บริหาร ขอใช้คำว่าคฤหาส เพราะมันเป็นบ้านบนเชิงเขาที่อยู่ในหมู่บ้านที่มีประตูกั้นเข้าออก และยามดูแลอย่างแน่นหนา พนักงานทั่วไปยังไม่เคยได้ไปกันเลย


Budweiser Brewery Tour - July, 2013


Budweiser Brewery Tour - July, 2013


นอกจากความรักในบริษัทแล้ว กิจกรรมต่างๆก็สร้างความสัมพันธ์ให้กับระหว่างเด็กฝึกงานกันเอง เช่นจะมีการทำกิจกรรมทุกบ่ายวันพฤหัส เช่นเล่นเกมส์ละลายพฤติกรรม และในวันศุกร์ อาทิตย์เว้นอาทิตย์ จะมีการทำกิจกรรมนอกสถานที่ เช่น ไปทัวร์ศูนย์ดาวเทียวของบริษัทที่ Wyoming ไปทัวร์โรงเบียร์ Budweiser แต่ที่เด็ดสุดคงต้องยกให้การไป 14er (อ่านว่า โฟร์ทีนเนอร์) ซึ่งเป็นการเดินขึ้นเขาที่สูงกว่า 14,000 ฟุต เริ่มเดินกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนบ่ายสอง เจ้ากิจกรรมเนี่ยแหละ ที่ทำให้ได้สนิทกับเพื่อนกันมากๆ (เหมือนที่คนอื่นว่าไว้ ว่ได้เห็นใจตอนจะเป็นจะตายเนี่ยเอง 55)


Mt. Greys, CO - July, 2013


จริงๆแล้วพวกกิจกรรมพวกนี้ถ้าเรามองอีกมุมนึง มันก็เป็นแผนการตลาดเพื่อโปรโมทภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัททางอ้อม ทำให้เวลาเราจบโปรแกรมไปแล้ว เราจะพูดถึงบริษัทในทางที่ดี และถ้าเราโชคดีได้ job offer หลังจากที่จบจากโปรแกรม ก็จะทำให้บริษัทได้บุคลากรที่มีความรักองค์กรมากขึ้น อันนี้ถ้าให้เปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกงานที่บริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่งของไทย มันมีความต่างตรงที่พอจบจากโครงการฝึกงาน กลับไม่มีความอยากทำงานที่นั้น เพราะได้เห็นและรู้สึกได้ถึงความกดดันและความเครียดในการทำงาน แต่สิ่งที่ได้ไม่ต่างกันก็คือเพื่อนที่ได้จากการฝึกงานนั่นเอง




Mellow tiger..

Tuesday, May 28, 2013

ดอกไม้นอกสวน : “การเดินทางและเวลา นำมาซึ่งผู้คนในความทรงจำ”










หน้า ๓๓
“มาเรียที่รักของผม ความฝันทำให้เราอยู่ได้ มันทำให้หัวใจของผมเต้นเร้าอย่างมีความสุขเมื่อได้พูดถึงสิ่งที่ฝัน แต่มันไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเราต้องจมอยู่กับความฝันดอกนะ ตรงข้ามเสียอีก สำหรับผม มันเป็นหนึ่งในสามสิ่งที่ทำให้มีความสุข คุณและลูกๆ ความฝันของผม และฟลาเมงโก”


หน้า ๔๒
“แปลงดอกไม้ของฉันเติบโต ในที่สุดต้องขยับขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไป  อ้อ... ฉันไม่มีลูกสาวคอยช่วยเหลือ ไม่ต้องพูดถึงคนสวนดอกนะ เพราะค่าจ้างแพง  ลูกชายของฉันทั้งสองคนและสามีของฉันต่างหาก พวกเขาเป็นกำลังสำคัญทั้งรดน้ำ พรวนดิน ลงกล้า ตัดแต่งกิ่ง

วันแรกที่พวกเขาลงแปลงปลูกต้นไม้ดอกไม้ เป็นภาพสวยงามที่สุด งดงามกว่าความรู้สึกเมื่อตอนได้ยินข่าวกำแพงเบอร์ลินพังแล้ว สหภาพโซเวียตล่มสลาย

วันนั้นฉันร้องไห้ และยืนอยู่ตรงธรณีประตู เป็นความรู้สึกต่างจากการร้องไห้ในวันที่พวกเขาเดินออกไปจากประตูเดียวกันนี้เพื่อไปทำสงคราม”


หน้า ๔๓
“สามีของฉันเคยพูดว่า บางทีเขาก็คิดเหมือนกัน ว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี ที่เอาดอกไม้ไปวางไว้บนหลุมศพ เพราะคนตายไม่ได้เห็น ไม่ได้กลิ่น แต่ก็อีกนั่นแหละ ดอกไม้บนหลุมศพทำให้ความตายไม่แข็งกระด้าง ไม่โหดร้ายเกินไปสำหรับสามีหรือภริยาหรือลูกหลานของผู้เสียชีวิต”


หน้า ๖๔
“ความจริงเมื่อมาทำเกสต์เฮ้าส์ เราสัมผัสความตื่นเต้น อันเกิดจากการพบและการลาจากมากกว่าตอนออกเดินทางด้วยตัวเองเสียอีก คุณคิดว่าเราเฉยชินกับความรู้สึกลาจากน่ะหรือ เปล่าเลย จริงอยู่มันอาจไม่พิเศษเหมือนกันทุกคน แต่ผมอยากบอกว่า ความรู้สึกดีๆกับใครบางคนที่เดินเข้ามาในประตูบานนั้นและจากออกไปภายนอกกรอบประตูบานเดียวกัน มันเหมือนกับการได้อ่านหนังสือดีๆเล่มหนึ่งเลยทีเดียว และคุณย่อมคิดถึงหนังสือเล่มนั้นอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่ง"


หน้า ๖๕
“เราสองคนได้เป็นพยานรักของหนุ่มสาวนักเดินทางไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่ แครอลบอกว่า เกสต์เฮ้าส์ของเราเป็นมากกว่าที่พักแรมทาง บางทีเป็นโบสถ์ให้คนได้มาสารภาพความในใจ และเป็นรวงรังที่ความรักของคนสองคนฟูมฟักและเติบโต พร้อมกันนั้นสำหรับบางคน มันอาจเป็นเวทีการแสดงที่คนหลายคนและหลายคู่ เมื่อลงไปแล้วก็ห่างหายไปไม่มีการติดต่อกันอีกเลย ขณะที่บางคนกลับขึ้นเวทีการแสดงแห่งนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง...”


หน้า ๘๔
“คนหนุ่มสาวจะไปรู้จักความเหงาหรือว้าเหว่ได้อย่างไร และถ้าพวกเขาเรียกการอยู่คนเดียวโดยไม่มีคู่ไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวรว่าเป็นความเหงาแล้วละก็ ฉันว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้ามากกว่า รออีกห้าสิบปีเถอะ ความเหงาจริงๆกำลังรออยู่...

สำหรับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอ วันรุ่งขึ้นหมายถึงคนรักใกล้กลับมาสู่อ้อมกอดแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนชุดใหม่สักที ได้เวลาออกไปพบหรือไปเที่ยวกับเพื่อนพ้องหน้าใหม่

แต่สำหรับคนแก่ วันรุ่งขึ้นมันหมายถึง... คนรุ่นเดียวกัน เพื่อนหรือคนที่เรารู้จักคุ้นเคย ลดจำนวนเหลือน้อยลงทุกวัน พวกเขาจากไป ไม่ใช่แค่ชั่วโมงหนึ่ง วัน สัปดาห์ ปี หรือยี่สิบปี แต่เป็นการจากอย่างถาวร ไม่รู้ว่าจะพบกันอีกไหม และส่วนใหญ่ไม่มีวันได้พบกันอีก”


หน้า ๙๕
“ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองแก่ แต่รู้ว่า อายุมากแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันพยายามบอกคนที่มองและแสดงความรู้สึกสงสาร เห็นอกเห็นใจผ่านใบหน้าและแววตาเวลาที่พวกเขามองมา มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาหรอก แต่คนแก่ไม่ได้เศร้าโศกทุกคน ไม่ว่าคนนั้นแวดล้อมอยู่ด้วยคนรู้จัก คนใกล้ชิด หรืออยู่ตัวคนเดียวในบ้านพักคนชรา

ฉันสุขกับชีวิตที่มีอยู่ แน่ล่ะยังคิดถึงวัยหนุ่มสาวบ่อยๆ และยิ้มให้วันเวลาพวกนั้น แต่ไม่เคยอิจฉาคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่เคยแม้อยากกลับไปใช้ชีวิตในวัยนั้นอีก ฉันเชื่อว่า แต่ละช่วงชีวิตมีความสวยงามของมันอยู่ สั้นบ้างยาวบ้าง อย่างเช่น คนในวัยของเธอ ย่อมมีความสุขในแบบที่คนในวัยหนุ่มสาวยังไม่สัมผัส และคนแก่ชราได้แต่ระลึกถึง”


หน้า ๑๑๓
“ผมไม่รู้หรอกว่าการเดินทางคืออะไร แต่การเดินทางไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งอะไรเลย การค้นหาจิตวิญญาณนั้น อยู่ในถ้ำบรรลุถึงธรรมง่ายกว่า

การเดินทางไปไหนมาไหนของพวกเรา คือไปหาเพื่อน ไปเยี่ยมญาติ ไปเรียนหนังสือ ไปงานในพิธีศาสนา ร่วมแสดงความยินดีกับคนแต่งงาน ไปร่วมแสดงความเสียใจในงานศพ เราไม่เดินทางไปไหนไกลๆ เพื่อไปเล่นน้ำทะเล ไปอาบแดด หรือไปหาความสุข ก็อย่างที่บอกไง ทุกอย่างอยู่กับเราที่นี่หมดแล้ว”


จบเล่ม
ดอกไม้นอกสวน ของภาณุ มณีวัฒนกุล
ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางเช่นบันทึกการเดินทางเล่มอื่นๆ
แต่เล่าแทนเสียงของผู้คนที่ผู้เขียนได้ผ่านพบขณะเดินทาง
บางคนคือแม่ บางคนคือเมีย บางคนคือลูกสาว
แต่อีกมากก็คือคนเป็นพ่อ คนหนุ่ม สามี และลูกชาย
ภาณุต้องการบอกเราว่า คนทุกคนต่างเป็นดอกไม้
เพียงแต่มีลักษณะรูปทรงแตกต่างกันออกไปตามเหตุและปัจจัยต่างๆ
และการอยู่ร่วมกันอย่างแตกต่างหลากหลายนี้ก็ทำให้สวนที่ชื่อว่าโลกงดงาม 

จบเล่มแล้ว เราได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า
การเดินทางนั้นมิใช่การเดินทางทางกายภาพเพียงอย่างเดียว
แต่ยังรวมถึงการเดินทางภายในจิตใจของเราเอง
การเดินทางไปในความคิดคำนึงอันไม่มีที่สิ้นสุด
การเดินทางไปตามตัวเลขอายุที่เพิ่มมากขึ้นวันแล้ววันเล่า
หรือแม้แต่การออกจากบ้านไปหาเพื่อน ไปเยี่ยมญาติ ไปเรียนหนังสือ
เราก็เรียกมันว่าการเดินทางแล้ว
ตราบใดที่เรายังได้อะไรบางอย่างกลับมาจากการก้าวออกไปครั้งนี้


Patha V

Friday, May 24, 2013

Jana Kramer :: I won't give up | Why ya wanna | Goodbye California | One of the boys




เดิมทีเรารู้จัก Jana Kramer จากบทบาทของ Alex Dupre หนึ่งในตัวละครจากซีรีย์เรื่อง One Tree Hill ที่เราโปรดปรานเป็นที่สุด ฉากหนึ่งในซีซั่น 8 เธอได้ร้องเพลง I won't give up ซึ่งเป็นเพลงปรโมตเพลงแรกในฐานะนักร้อง และนั่นทำให้เรารู้ว่า Jana Kramer ไม่ได้มีเสน่ห์ในการแสดงเพียงอย่างเดียวแต่เธอยังมีน้ำเสียงที่มีเสน่ห์อีกด้วย


เพราะเพลง I won't give up เป็นเพลงมีท่วงทำนองและเนื้อร้องที่ติดหูตามแบบฉบับเพลง pop ทั่วไป เราจึงตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่า Jana เลือกที่จะทำเพลง country แต่เมื่อได้กลับไปฟังเพลง I won't give up อีกครั้งเรากลับเข้าใจในตัวตนของเธอมากขึ้นว่าเหตุใดถึงเป็น country หากไม่ติดภาพสาวมั่นในบทบาทของ Alex Dupre เราว่า Jana Kramer คนนี้มีความเป็นสาว country แบบธรรมชาติสุดๆ เลยล่ะ


เสียงของ Jana ที่ร้องไว้ในเพลง I won't give up มีความเป็น country นิดๆ ตรงหางเสียงที่ลากยาวในแต่ละท่อน และทุกอย่างชัดเจนขึ้นในเพลง Why ya wanna เพราะโทนเสียงที่เป็น country อันทรงพลังของเธอได้บอกทุกอย่างไว้หมดแล้ว ประกอบกับภาคดนตรีที่มีเครื่องสายเข้ามาช่วยทำให้นักฟังเพลง country folk อย่างเราเพลิดเพลินไปกับกลิ่นอายความเป็น country มากยิ่งขึ้น


ล่าสุดกับเพลง Goodbye California ที่เพิ่งได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่เราชอบฟังเวลาเดินทาง อาจจะเพราะเป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับการจากลาที่ใดที่หนึ่ง มีทำนองที่น่ารักและสนุกสนาน  ถึงแม้ภาคดนตรีของเพลงจะออกไปทาง pop ค่อนข้างมาก ใกล้เคียงกับเพลงของ Taylor Swift เสียเหลือเกิน แต่เรากลับมองว่าด้านภาคเนื้อเพลงยังคงอยู่ในลักษณะของเพลง country ที่เขียนเล่าเป็นเรื่องราวเป็นลำดับขั้นตอน โดยเพลงนี้มี California เป็นพระเอก


และเพลงสุดท้ายของวันนี้คือเพลงสนุกๆ อย่างเพลง One of the boys ถึงแม้จะเป็นเพลงที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร แถมยังประดับด้วยความธรรมดาทั้งเนื้อเพลงและดนตรี แต่เรากลับชอบการใช้เสียงของ Jana ในเพลงนี้มากโดยเฉพาะท่อนฮุคที่ลดความเป็น country ลงและเพิ่มความสดใสในน้ำเสียงให้เข้ากับความสนุกสนานของเพลงมากขึ้น ฟังแล้วรู้สึกลื่นหูดี แถมฟังไปฟังมาเพลงนี้ทำให้เรานึกถึงเสียงของ Shania Twain ซึ่งเป็นนักร้องเสียงดีอีกหนึ่งคนที่เราชื่นชอบอีกด้วย





That Original Frippo

Wednesday, May 22, 2013

Commencement


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พี่ได้ไปงานรับปริญญาของเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยที่พี่เคยเรียน (มหาวิทยาลัยในดาวทาวน์เดนเวอร์) รับปริญญารอบนี้มีเพื่อนจบกันหลายคนทั้งเพื่อนคนไทยและต่างชาติ ถ้าเป็นรอบก่อนๆจะมีนักเรียนไทยจบกันเยอะมาก แต่ตั้งแต่ปีที่แล้ว มีคนไทยมาเรียนที่นี่น้อยลงเรื่อยๆ ไม่รู้เพราะกระแสไปเรียนที่อังกฤษกำลังบูมหรือว่ายังไง รอบนี้เลยมีเพื่อนคนไทยที่พี่รู้จักจบแค่คนเดียว



Fall Commencement - December, 2012


การรับปริญญาในมหาวิทยาลัยที่อเมริกานั้นแบ่งเป็นสองรอบ คือ รับตอนจบภาคเรียน Spring Semester (ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม) และ Fall Semester  (ประมาณกลางเดือนธันวาคม) ต่างจากบ้านเราตรงที่ ไม่ต้องรอรู้ผลว่าจะจบรึเปล่าก็สามารถเดินเข้ารับปริญญาได้ทันที แต่จะได้ใบจริง ซึ่งจะส่งจดหมายไปที่บ้านในอีกสองสามเดือนหรือไม่ก็ค่อยว่ากันอีกที และพิเศษอีกตรงที่ถ้าสมมตินักเรียนกำลังจะจบในซัมเมอร์ ก็สามารถเดินรับในช่วง Spring ได้ ซึ่งพี่ก็ทำอย่างนั้น เพราะพี่อยากให้พ่อแม่มาในช่วงที่อากาศกำลังอุ่น พี่เลยรับปริญญาก่อนจบจริง ถ้าจะไปรับช่วงเดือนธันวา พ่อกับแม่พี่คงสู้อากาศหนาวที่นี่ไม่ไหวแน่ๆ



Spring Commencement - May, 2012


Spring Commencement - May, 2012


อีกเรื่องที่ต่างจากงานรับปริญญาที่ไทยคือ ความเรียบง่ายของงาน ที่นี่จะไม่มีการซ้อมใหญ่ซ้อมย่อยใดๆทั้งสิ้น รับวันจริงวันเดียวจบ ไม่มีการแต่งหน้าทำผมฉูดฉาด งานเป็นกันเอง ขนาดที่ว่าเด็กบางคนใส่รองเท้าแตะ ขาสั้นใต้เสื้อครุย และหลังจากรับปริญญานั้นก็มีการแสดงท่าทางดีใจในแบบฉบับของตัวเอง ใครอยากเต้น อยากเอากากเพชรประดับหมวกรับปริญญาก็ทำกันได้ตามใจชอบ

ความต่างตรงนี้เองนี้ทำให้การรับปริญญาที่ไทยและที่นี่มีเสน่ห์ต่างกันไป เช่น งานรับปริญญาที่ไทยซึ่งเป็นงานพิธีการ ถ้าจะให้เด็กนักเรียนมาทำตัวตามใจชอบแบบนี้ก็ไม่เหมาะ แต่เพราะความเป็นพิธีการ มันทำให้งานดูศักดิ์สิทธิ สร้างความภูมิใจให้กับนักเรียนและครอบครัว ที่ฝ่าฟันกับการใช้ชีวิตนักเรียน (สำหรับพ่อแม่ คงต้องใช้คำว่า ใช้เวลาเคี่ยวเข็ญ) ถึงสิบกว่าปี ส่วนงานรับปริญญาที่นี่ มันก็มีเสน่ห์ตรงที่มีความสนุกสนาน นักเรียนสามารถปลดปล่อยความเครียดได้เต็มที่ แต่ที่ไม่ต่างกันเลยก็คือความภูมิใจ ปลาบปลื้มของตัวเราเองและของพ่อแม่ ไม่ว่าไปงานรับปริญญาที่ไหน ถ้าจะให้เปรียบเทียบ มันก็คงเหมือนไปงานแต่งงาน ที่เรารู้สึกได้ถึงความรักลอยอยู่ในอากาศ งานรับปริญญาก็เช่นกัน พี่จะรู้สึกได้ถึงความสุข ความภาคภูมิใจของพ่อแม่ลอยอบอวลอยู่ในอากาศด้วย

แต่ถึงงานรับปริญญาจะมีความต่าง แต่เด็กไทย (และเด็กเอเชีย) ก็ยังถ่ายรูปไม่ยั้งกันเหมือนเดิม เด็กนักเรียนอเมริกันสู้ไม่ได้เลยทีเดียว 55






Mellow tiger..

Thursday, May 9, 2013

Taking a Bus


ในบล๊อกแรกๆ พี่เคยเล่าเรื่องการจราจรของ Denver อาทิตย์นี้พี่เลยขอมาเล่าเรื่องระบบขนส่งมวลชนของที่นี่บ้าง

ช่วงแรกๆ ประมาณปีครึ่งที่พี่อยู่ที่นี่ พี่ก็ไม่ได้ไฮโซมีรถขับอย่างเช่นทุกวันนี้ ไปไหนมาไหนเลยต้องใช้บริการขนส่งมวลชน ทั้งรถเมลล์และรถไฟฟ้า ถึงแม้จะลำบาก แต่ก็มีข้อดีคือมันทำให้พี่เป็นคนที่จำถนนหนทางที่นี่แม่นมาก ไปไหนมาไหนรู้หมด ว่ามันอยู่ทิศไหนของตัวเมือง ใครไปไหนที่นี่กับพี่ ไม่ต้องกลัวหลงแน่นอน  :)


ทิปจากพี่สาว: เวลาอยู่ในตัวเมืองเดนเวอร์ ถ้ามองไปทางไหนแล้วเห็นภูเขา ทางนั้นคือทิศตะวันตกค่ะ


ระบบขนส่งที่นี่ดำเนินการโดย RTD (Regional Transportation District) ซึ่งจะคล้ายๆกับ"ขสมก"บ้านเรา  RTD จะดูแลทั้งหมด ไม่ว่าเป็นรถประจำทางในเมือง รถระหว่างเมือง และรถไฟฟ้า (หรือเรียกว่า Light Rail) การมีบริษัทเดียวนี่เองที่ทำให้การเดินทางที่นี่สะดวก และเป็นระบบที่ดีมาก เช่น ตั๋วโดยสาร สามารถใช้เปลี่ยนไปขึ้นรถอีกสาย หรือเปลี่ยนจากรถเมลล์ไปรถไฟได้ฟรีหรือจ่ายเพิ่มในราคาที่ถูกลง เป็นต้น และอีกเรื่องที่ต้องขอชมก็คือ ที่นี่เค้ามีการให้ข้อมูลกับผู้โดยสารได้ดีมาก เช่น เราสามารถเข้าเว็บของเค้า www.rtd-denver.com เพื่อที่จะเช็คเวลาเดินรถ และสามารถให้ทางเว็บวางแผนการเดินทางให้เราได้ด้วยว่าเราจะขึ้นรถเมล์จากไหนไปไหน ต้องนั่งรถเมล์หรือรถไฟสายไหน อีกทั้งยังมีแผนที่แจกให้บนรถเมลล์ว่า รถเส้นนี้เดินทางไปไหน จะถึงป้ายไหนกี่โมง ที่ประทับใจสุดๆคือที่ป้ายรถเมล์ทุกป้าย จะมีเลขประจำป้าย ซึ่งเราสามารถใช้เจ้าเลขนี้ เข้าไปเช็คที่เว็บไซต์หรือโทรไประบบตอบรับอัตโนมัติเพื่อเช็คเวลาที่รถเมล์สายนั้นจะมาถึงที่ป้ายได้อีกด้วย



Littleton, CO - September 12, 2010



รถประจำทางและรถไฟฟ้าที่นี่ สะอาดและไม่เบียดเสียดเหมือนบ้านเรา และไม่มีกระเป๋ารถเมล์ โดยเราจะโชว์บัตรให้คนขับดูหรือจ่ายเงินกับเครื่องรับเงินตอนเราเดินขึ้นรถ พอถึงป้ายก็กดกริ่งหรือดึงเชือกที่อยู่ใกล้กับหน้าต่างเพื่อบอกคนขับว่าเราต้องการลง หรือถ้าเป็นรถไฟฟ้า เราต้องซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติก่อนขึ้น พอขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้มีการเช็คว่าเราซื้อตั๋วหรือไม่ โดยใช้ระบบเชื่อใจกันมากกว่า แต่ก็มีพนักงานเดินสุ่มตรวจเป็นสายๆ ถ้าใครไม่ได้ซื้อตั๋วก็โดนใบสั่งกันไป และอีกเรื่องที่พี่ประทับใจ คือ การให้บริการกับคนพิการ ยกตัวอย่างเช่น บันไดตรงทางขึ้นรถเมลล์ สามารถยื่นออกมากลายเป็นทางลาดให้รถเข็นคนพิการขึ้นไปได้ และมีโซนสำหรับล๊อครถเข็นโดยเฉพาะ และถ้าคนขับเห็นคนตาบอดยืนรอรถอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ต้องจอดที่ป้าย แล้วคนขับต้องแจ้งให้เค้าทราบว่า สายรถเมล์นั้นคือสายไหน และกำลังจะไปไหน เพราะระบบดีๆอย่างนี้นี่เอง พี่จึงไม่แปลกใจเลยที่เห็นคนพิการที่นี่ แม้แต่คนตาบอด สามารถพึ่งตนเองและอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่เป็นภาระของคนอื่น พี่อยากให้บ้านเราเอาไปใช้บ้าง คนพิการที่บ้านเราจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องไปไหนมาไหนลำบากอย่างนี้



Denver, CO - September 12, 2010


ที่นี่รถเมล์และรถไฟฟ้ามีการให้บริการเป็นตารางเวลาที่แน่นอน เช่น ทุกครึ่งชั่วโมง หรือทุกหนึ่งชั่วโมง สายที่ไม่มีคนใช้ก็จะให้บริการแค่จันทร์ถึงศุกร์ และไม่ได้ให้บริการดึกๆดื่นๆเหมือนบ้านเรา นอกจากเป็นสายที่ผ่านดาวทาวน์ ซึ่งจะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง การที่ให้บริการตรงเวลาอย่างนี้ ข้อดีก็คือเราสามารถวางแผนได้ชัดเจนว่าเราจะไปถึงที่หมายเมื่อไหร่ แต่ข้อเสียคือถ้าเราพลาดไปเราต้องรอไปอีกครึ่งชั่วโมง ช่วงที่พี่เรียนโทใหม่ๆ พี่ต้องนั่งรถแล้วต่อรถเมลล์เพื่อกลับบ้าน รถไฟฟ้าถึงสถานีช้าแค่ 2 นาที ทำให้พี่ขึ้นรถเมลล์ไม่ทัน ต้องยอมทนเดินกลับบ้านที่อุณหภูมิติดลบต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ตอนนั้นเดินไปน้ำตาซึมไป ทั้งหนาวทั้งเหนื่อย คิดถึงรถเมลล์บ้านเราที่มาทุก 5 นาทีมากๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่สู้รถเมล์บ้านเราไม่ได้เลย 55


Mellow tiger..




ปล. ช่วงนี้พี่สติแตกค่ะ วีซ่าทำงานอาจจะไม่ผ่าน ถึงบ่นว่าคิดถึงบ้านบ่อยๆแต่พี่ยังไม่อยากกลับ ยังได้ประสบการณ์ที่นี่ไม่คุ้มเลย > <”

Sunday, May 5, 2013

The Sister Journey Finale







That Original Frippo