Sunday, March 31, 2013

It's Our Home






That Original Frippo

Thursday, March 28, 2013

Getting a Job (III)


หลังจากผ่านกานสัมภาษณ์รอบนั้น ใจพี่ก็ตุ้มๆต่อมๆตลอดทั้งอาทิตย์ ใจนึงก็มีความหวังเล็กว่าน่าจะได้ เพราะหลังจากจบการสัมภาษณ์ เค้าได้พาพี่พาไปเดินทัวร์ ออฟฟิซ และพาไปรู้จักกับ Director แต่อีกใจนึงพี่ก็ไม่อยากตั้งความหวังไว้มาก ไม่ได้ไม่เป็นไร เราก็สู้กันต่อ... หลังจากนั้นสองวัน มีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆโทรเข้ามา ปลายสายแจ้งว่า “เรายินดีด้วย คุณได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนฝึกงานที่บริษัทเรา” พี่แทบอยากจะกรี๊ดอยู่ตรงนั้น แต่ต้องเก็บอาการไว้ เพราะต้องคุยเรื่องเอกสารและเงินเดือนกันต่อ :)

หลังจากที่ได้ที่ฝึกงานแล้วเราก็ต้องไปติดต่อที่ Career Center ของมหาวิทยาลัย เพื่อจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ โดยทางมหาวิทยาลัยจะออกใบสัญญากับนายจ้าง ว่านายจ้างจะต้องรับเราทำงานตำแหน่งอะไร ต้องปฏิบัติกับเราอย่างเหมาะสม เป็นต้น แต่ที่พิเศษกว่านักเรียนชาวอเมริกันคือ นักเรียนต่างชาติที่ได้ที่ฝึกงานแบบได้รับค่าจ้าง หรือ Paid Internship จะต้องไปติดต่อที่ International Student Services Office เพื่อติดต่อเรื่องการขอ CPT (Curricular Practical Training) และออก I-20 (เอกสารวีซ่านักเรียน)ให้ใหม่ ซึ่งเจ้า I-20 ใบใหม่นั้น จะระบุว่าเราได้ฝึกงานที่บริษัทอะไร ทำงานตำแหน่งอะไร เริ่มจากวันไหน สิ้นสุดวันไหน

การที่เราได้ที่ฝึกงานโดยเฉพาะสำหรับนักเรียนต่างชาตินั้น เหมือนเป็นใบเบิกทางให้หางานได้ขึ้น บางคนนั้นอาจโชคดีได้ทำงานต่อในบริษัทที่ฝึกงานเลย (ซึ่งพี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น) นอกจากเรื่องนี้แล้ว เรายังได้ประสบการณ์การทำงานที่มีค่ามากๆ ถ้าจะให้เปรียบทียบกับวัฒนธรรมการทำงานของที่นี่กับที่บ้านเรา มันมีความต่างและข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป (ส่วนที่จะกล่าวถึงมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของพี่นะ คนอื่นอาจเห็นต่างออกไป) ที่นี่จะทำงานกันเป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน และมีการแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานอย่างชัดเจน คือเจ้านายจะเน้นที่ตัวผลงานมากกว่ามาจี้เรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ตอนอยู่บ้านเรา ถึงแม้งานเลิกห้าโมงเย็นแต่ก็เป็นวัฒนธรรมของบริษัทที่ต้องนั่งอยู่กันต่อถึงห้าโมงครึ่ง เพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่าเราขยัน ตั้งใจทำงาน แต่ที่นี่มีเวลาเข้าออกชัดเจน ไม่ต้องนั่งยาวต่อกันหลังเลิกงาน ถ้าเราติดธุระที่บ้าน สามารถทำงานที่บ้านได้ แต่งานต้องเสร็จและส่งให้ทันกำหนด

ถึงแม้การที่ได้ที่ฝึกงานนั้น จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เราได้ทำงานหลังจากเรียนจบ แต่สิ่งที่พี่ดีใจมากกว่านั้น คือในที่สุด พี่ก็สามารถหารายได้เป็นของตัวเอง และสามารถเริ่มเก็บเงินคืนพ่อกับแม่ได้ ถึงแม้มันอาจจะใช้เวลานาน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ค่าใช้จายทั้งหมดที่พี่ใช้ในการเรียนต่อที่นี่ พี่เชื่อว่าจริงๆแล้วพ่อแม่ทุกคนก็คงไม่ได้ตั้งความหวังว่าลูกจะต้องหามาคืน แต่สำหรับพี่ เงินก้อนนั้นมันเป็นเวลาที่เค้าเก็บมาให้เราตลอดชีวิต (20 กว่าปี) ดังนั้นเราก็ควรจะ”พยายาม”เก็บเงินและคืนเงินก้อนนั้นให้เค้า คิดดูสิในตอนที่พ่อแม่อายุเท่าพี่ในตอนนี้ เค้าก็แต่งงานมีพี่และเริ่เมเก็บเงินหาสร้างอนาคตให้พี่แล้ว ตอนนี้เราตัวคนเดียว ทำไมเราจะเก็บเงินคืนเค้าไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ



Mellow tiger..





ปล. ถึงแม้งานนี้จะหาเจอจาก Google แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นบริษัทที่จัดการดาวเทียมอันดับ 4 ของโลกเลยทีเดียว :)

Tuesday, March 26, 2013

ความทรงจำจากเมืองเกาะครึ่งร้อย (1)




เข้าเดือนมีนาแล้ว
เราและพรรคพวกตัดสินใจหนีร้อนที่กรุงเทพฯ
เดินทางไปยังภาคตะวันออกสุดของไทย
ยังดินแดนแห่งเกาะครึ่งร้อย นามว่าจังหวัดตราด



ความทรงจำจากเมืองเกาะครึ่งร้อย (1)
: เขาสมิง-บ่อไร่ เราไปทุกที่ที่มีทาง


เราออกเดินทางวันแรกในวันที่ 11 มีนาคม 2556
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลา 9.00 น.
ไปถึงตราดราวบ่าย 2 ใช้เวลาราว  4-5 ชั่วโมง

วันแรกของทริป เราเดินทางไปยังส่วนที่ห่างไกลที่สุด
คือในเขต อ.เขาสมิง และ อ.บ่อไร่
เขตนี้เป็นเขตกันดารและห่างไกลของจังหวัดตราด
แต่ในเมื่อเราเป็นนักเดินทาง เราจึงต้องไปทุกที่ที่มีทางและมีที่ให้เที่ยว

จุดหมายปลายทางแรกของทริปนี้อยู่ที่ โบราณสถานเขาโต๊ะโมะ
เป็นสถานที่ที่มีกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ที่ "ชาวชอง" 
หรือชาวเขมรกลุ่มหนึ่งขนมารวมไว้ตั้งแต่อดีต
จริงๆที่นี่ก็ค่อนข้างร้าง แต่ด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ ความอุดมสมบูรณ์ของป่า
เราก็เลยยังให้อภัยเดินเล่นและถ่ายรูปเก็บไว้กันอยู่ได้นานสองนาน


โบราณสถานเขาโต๊ะโมะ


ที่เขาโต๊ะโมะมีต้นไม้ใหญ่ๆเต็มไปหมด ร่มรื่นมากๆ


ที่ต่อมาเราไป น้ำตกเขาสลัดได น้ำตกขนาดเล็กที่เข้าไปลำบากมากกก
ต้องผ่านป่าดงดิบยุคดึกดำบรรพ์เข้าไป
แล้วต้องลงเดินต่ออีกราว 500 เมตร
เพื่อจะเข้าไปพบน้ำตกขนาดจิ๋วที่สุดที่แทบไม่มีน้ำไหลอยู่อีก
บริเวณรอบๆหรือก็รกร้าง ไม่เหมาะสำหรับมาเที่ยวเล่นอย่างยิ่ง
พี่คนหนึ่งแอบนิยามให้ว่านี่มันฉากถ่ายหนังเรทอาร์ชัดๆ

จากน้ำตกที่ทำให้เราผิดหวัง เราไปต่อยัง อุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองแก้ว
เดินเล่นน้ำตกคลองแก้วขนาด 7 ชั้น ในบรรยากาศร่มรื่น
แต่เราไปถึงแค่ชั้น 3 ซึ่งว่ากันว่าเป็นชั้นที่สวยที่สุด
ที่นี่ก็ร่มรื่นดี มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีนักท่องเที่ยวมาเล่นมากมาย
ทริปน้ำตกของเราในวันนี้เลยไม่กร่อยจนเกินไปนัก

พระอาทิตย์ตกแล้ว ที่อ่างเก็บน้ำเขาระกำ


จากที่นี่เราก็วนเก็บข้อมูลที่เที่ยวอื่นๆในเขต อ.เขาสมิง-อ.บ่อไร่
อยู่กันจนเย็นย่ำ จากนั้นก็ตีรถไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่อ่างเก็บน้ำเขาระกำ
ว่่ากันว่าที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมากอีกจุดหนึ่งในจังหวัดตราด
เราถ่ายภาพ เก็บข้อมูลสถานที่เที่ยวแห่งนี้พักใหญ่แล้วจึงเดินทางเข้าตัวเมือง
เข้าที่พักที่ ริมคลองบูติก ที่พักชิคชิคน่ารักในตัวเมือง

เขตที่เราพักอยู่เป็นเขตชุมชนเก่าคลองบางพระ
บ้านเรือนยังเป็นเรือนแถวไม้แบบเก่า สวยงามคลาสสิก
แต่คืนแรกหมดแรงเกินกว่าจะเดินสำรวจบริเวณรอบๆได้หมด
จึงพากันแยกย้ายเข้านอนเก็บเรี่ยวแรงไว้สำหรับวันต่อไป

วันพรุ่งนี้เราจะตะลุยในเขต อ.เมืองกันต่อ
มารอดูกันว่าการเดินทางครั้งนี้จะโหด มัน ฮา แค่ไหนนะคะ :)

ระหว่างทางกลับเข้าตัวเมืองตราด


Patha V

Sunday, March 24, 2013

Life In A Day [week 1]






Thai Original Frippo

Thursday, March 21, 2013

Getting a Job (II)


แล้ววันนัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ก็มาถึง...

ก่อนถึงเวลาสัมภาษณ์พี่ได้เตรียมเอกสาร คำถามคำตอบที่เตรียมไว้ พร้อมด้วยหนังสือเรียน เผื่อเค้าจะถามคำถามเกี่ยวกับที่เรียนมา(ซึ่งตอนนั้นพี่ยอมรับเลยว่ากลัวที่สุด เพราะงานที่สมัครไปถึงแม้จะเป็นทางด้าน IT เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ตรงสายที่เรียนมากนัก) ตอนที่โทรศัพท์ดัง เหมือนหัวใจพี่ตกไปที่พื้น ตื่นเต้นสุดๆ แต่ยังดีที่คนสัมภาษณ์ให้ความเป็นกันเองมาก และพูดอย่างช้าๆชัดๆให้พี่ได้เข้าใจ ไม่มีการถามคำถามทางวิชาการทั้งสิ้น(โล่งอก)

วันต่อมาได้รับโทรศัพท์จากผู้สัมภาษณ์ว่า เราเป็นหนึ่งในสามที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย (ยังกับประกวดนางงาม) ให้เข้าไปสัมภาษณ์ที่บริษัทในอาทิตย์ต่อมา ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่าขอสู้สุดตัว โดยใช้เวลาก่อนการสัมภาษณ์ทั้งหมดเตรียมอ่านหนังสือ ฝีกเขียนโค้ดอย่างเต็มที่ อีกเรื่องที่ต้องห่วงคือเสื้อผ้า สำหรับผู้ชายคงเป็นเรื่องง่าย  เพราะสามารถใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงแสล็คไปได้ แต่สำหรับผู้หญิง ก็ต้องมานั่งคิดว่า กระโปรงดีมั้ย หรือว่ากางเกง แล้วใส่สูทด้วยรึเปล่า ทรงผม แต่งหน้า โอ๊ยสารพัดมากๆ แล้วยิ่งเพิ่มความยากลำบากไปอีก ตรงที่ตำแหน่งที่พี่สมัครเป็นไอที ซึ่งเป็นแผนกที่แต่งกาย business casual (ซึ่งเป็นคำถามที่พี่เตรียมไปถามเค้าทางโทรศัพท์เรื่องวัฒนธรรมบริษัท) ยกตัวอย่างเช่น ในวันทำงานผู้ชายจะใส่กางเกงยีนส์และเสื้อโปโลคอปก เป็นต้น มีเรื่องเล่าว่าบางบริษัทอย่างเช่น Google ถ้าใครไปสัมภาษณ์แล้วใส่สูท ผูกไทด์ อาจมีโอกาสได้งานน้อยกว่าคนที่แต่งตัวสบายๆไปสัมภาษณ์ เพราะไม่เข้ากับวัฒนธรรมบริษัทนั่นเอง (ไปสัมภาษณ์ที่ Google ต้องมีการสอบวัด I.Q. กันด้วยนะ) พี่ใช้เวลาในการตัดสินใจเรื่องนี้นานหลายวันแล้วจึงสรุปว่า จะใส่เป็นกางเกงแสล็ค เสื้อสายเดี่ยว(น่ารักๆ) เพื่อไม่ให้ดูเป็นทางการเกินไป แล้วใสเสื้อสูทลำลองทับอีกตัวนึง

ก่อนไปถึงวันสัมภาษณ์ เราก็ควรศึกษาเส้นทางให้ละเอียด โดยเฉพาะคนที่ไม่มีรถส่วนตัว ว่าต้องนั่งรถไฟ หรือรถประจำทางสายไหน สำหรับชาวอเมริกันนั้นเรื่องการตรงเวลาสำคัญมาก ดังนั้นเราไม่ควรไปสายเด็ดขาด! ควรไปถึงก่อนซักห้าถึงสิบนาที ที่พี่บอกให้เผื่อๆไว้ อันนี้โดยเฉพาะสาวๆ จะได้มีเวลาเข้าห้องน้ำดูความเรียบร้อยของหน้าตาและเครื่องแต่งกายกันนิดนึง อ้อ แถมอีกเรื่อง ก่อนไปสัมภาษณ์นั้น เราก็ควรทำรีเซิชเรื่องบริษัทและผู้สัมภาษณ์เล็กน้อย เช่น บริษัทที่ทำนั้นผลิตภัณฑ์คืออะไร ผู้สัมภาษณ์หรือว่าที่เข้านายนั้นหน้าตาเป็นยังไง :) ตรงนี้มีทริค(อีกแล้ว) ว่านอกจากจะหาจาก Google แล้ว ให้เข้าไปที่เว็บ LinkdIn ซึ่งเป็นเว็บที่นี่เค้ามีไว้ในการหางาน โดยเราสามารถสร้างเพจใส่ข้อมูล และทิ้งเรซูเม่เราไว้ และยังสามารถ add connection เช่น เราอาจอยากจะทำบริษัทนั้น แล้วบังเอิญเพื่อนเรามี connection กับเพื่อนอีกคนในบริษัทนั้น ทำให้เราสามารถ refer งานได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

วันที่ไปสัมภาษณ์ พี่หวั่นใจสุดๆ เนื่องจากกลัวว่าเค้าจะให้เราลองเขียนโค้ดหรือแก้โจทย์โปรแกรมต่างๆ ความตื่นเต้นนั้นเพิ่มถึงขีดสุด เมื่อพอเดินไปถึงห้องสัมถาษณ์ มีคนมาสัมภาษณ์พี่ถึงห้าคน! ขออีกที ห้าคน! แต่ความกังวลและความตื่นเต้นก็ลดลง เมื่อทุกคนเริ่มแนะนำตัวและมีการพูดคุยกัน ทุกครั้งที่พี่ไปสัมภาษณ์งาน พี่จะพยายามขายตัวเองสุดๆ โดยการไม่หลบตาและยิ้ม พี่ว่าถ้าเรามีความมั่นใจ มันก็จะออกมากับบุคลิกและสร้างความมั่นใจให้เค้าเห็น และก็ต้องตอบคำถามอย่างฉลาด เช่น เค้าถามพี่ว่า ให้บอกข้อดีข้อเสียของเรา พี่บอกว่า พี่เป็นคนเข้ากับคนง่าย เมื่อก่อนตอนเป็นวิศวะ พี่เป็นหัวหน้าห้องและสามารถทำงานร่วมกับผู้ชายหลายร้อยคนได้อย่างดี (ฟังดูบึกบึนมาก) ที่ตอบอย่างนี้ พี่ต้องการให้เค้าเห็นว่า "เห็นมั้ยจ๊ะ ถึงชั้นเป็นสาวเอเชียตัวเล็กๆ แต่ชั้นก็ไม่กลัวที่จะเป็นหญิงเดียวในทีมโปรแกรมเมอร์ และสามารถทำงานกับพวกคุณได้อย่างดี" :)

ก่อนจบ พี่ก็มีการตบท้ายไปว่า ถึงพี่จะไม่ได้เรียนตรงสายและศึกษาความรู้ด้วยตัวเอง แต่พี่ก็มีความพยายามและขยัน ซึ่งถ้าพี่ได้งานนี้แล้ว พี่จะพยายามเรียนรู้และทำงานให้อย่างดีที่สุด...

อย่างที่พี่บอกไปแล้ว ว่างานนี้พี่ทุ่มสุดตัว :)



Mellow tiger..

Tuesday, March 19, 2013

To Nakhon Phanom With Love (5)


เยือนถิ่นพระธาตุ 
สัมผัสความศรัทธาที่มีชีวิต


To Nakhon Phanom With Love (5)

: ที่สุดแห่งความศรัทธา "พระธาตุพนม"

  



วันที่สามจากนครพนม เราเดินทางจากอำเภอเมืองไปยังอำเภอธาตุพนม เพื่อเยือนพระธาตุพนม
ซึ่งใครๆต่างบอกกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ถ้าไม่ได้มา ถือว่ายังมาไม่ถึง"

ฉันไม่ได้ใส่ใจคำพูดนี้นัก จนกระทั่งได้มาเยือนพระธาตุด้วยตนเองถึงได้เข้าใจ พร้อมกับคิดในใจว่า ไม่เพียงแต่ถือว่ามาไม่ถึงเท่านั้น แต่ยังถือว่าได้พลาดสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆส่งหนึ่งไปด้วย

เราได้สบตาพระธาตุพนมครั้งแรกในเวลากลางคืน

ฉันไม่รู้ว่าเพราะอย่างนี้หรือเปล่า พระธาตุพนมในใจจึงได้สวยงามตระการตามากเหลือเกิน... ในเวลากลางคืน ผู้คนไม่พลุกพล่าน ตัวพระธาตุเปิดไฟสว่างไสวเมื่อกระทบกับสีทองขององค์พระธาตุยิ่งสว่างเรืองรอง ลมเย็นๆพัดโชยตลอดเวลา กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้กลางคืนยิ่งส่งให้สถานที่แห่งนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความรัก ความสงบ และความศรัทธา

เราเข้าไปไหว้พระธาตุ และนั่งนิ่งอยู่หน้าพระธาตุอย่างนั้นนานสองนาน ต่างซาบซึ้งต่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า ระหว่างนั้นเรามองดูผู้คนที่มาสักการะพระธาตุ ผู้คนเหล่านี้เดินทางมาด้วยความศรัทธา แบกความรัก ความหวังมาล้นหัวใจ เชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าการมาไหว้พระธาตุในครั้งนี้จะเกิดอานิสงส์ต่อชีวิตพวกเขาในทางใดก็ทางหนึ่ง เรามองเห็นศรัทธาที่มีชีวิต ในวินาทีนั้นเราเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าความศรัทธานั้นเป็นอย่างไร




ว่ากันว่าพระธาตุพนมศักดิ์สิทธิ์มาก อยากขออะไรก็ให้ขอ แต่คนๆหนึ่งจะขอได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ถึงจะรู้ว่านี่เป็นวิธีคิดที่ไท๊ยไทย แต่ฉันก็ยังอดปักใจเชื่อตามคำร่ำลือของใครๆและอดขอพรต่อพระธาตุไม่ได้ ความปรารถนาในใจ ฉันได้ขอไปแล้ว ต่อหน้าพระธาตุในวันนั้น ไม่รู้ว่าพรจะเป็นจริงหรือไม่ หรือถ้าเป็นจริงจะสัมฤทธิ์ผลเมื่อใด แต่ก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่ได้อยู่ตรงนั้นในวันนั้น เวลานั้น




ระหว่างหันหลังจากพระธาตุพนม ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มาเยือนพระธาตุ ฉันคงจะต้องเสียใจและเสียดายไปตลอด

เช่นเดียวกับการเดินทางในครั้งนี้ หากไม่ได้เดินทางมากับเพื่อนทั้งสอง อาจจะไม่ได้พบเจอเรื่องราวดีๆระหว่างทางและได้ความประทับใจกลับมาบ้านมากมายขนาดนี้



Patha V




Sunday, March 17, 2013

เสียงและฉากของจริงจากชีวิตผู้หญิงนามว่า Frippo




The Sounds And The Scenes โฉมใหม่
ที่นี่ในวันอาทิตย์หน้าแน่นอน : )





That Original Frippo

Thursday, March 14, 2013

Sick Leave

อาทิตย์นี่้พี่ขอลา เนื่องจากตอนนี้สุขภาพไม่เอื้อ 

ถ้าเป็นตามทฤษฎีตามภาพยนตร์เรื่อง Shutter ตอนนี้น้องน้อยที่เคยนั่งขี่คอพี่นั้น กำลังสนุกสนานกับการโหนแขนซ้ายของพี่ และตอนบ่ายๆ น้องเค้าจะชวนเพื่อนมาเล่น โหนแขนขวาพร้อมๆกัน แล้วพอตกเย็นน้องก็จะกลับมานั่งบนคอเหมือนเดิม (55)

วันนี้ลาป่วย... สวัสดีค่ะ :)



Mellow tiger..





Tuesday, March 12, 2013

To Nakhon Phanom With Love (4)


ได้เจอคนดีๆ 
ก็ทำให้รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ


To Nakhon Phanom With Love (4)

: คนดีๆและเรื่องราวดีๆที่ "บ้านลุงโฮ" 





 จะว่าไปแล้ว "บ้านลุงโฮ" ก็เป็นสถานที่ที่นำเราเดินทางไกลมาถึงที่นี่... นครพนม

ก่อนตัดสินใจเลือกนครพนมเป็นจุดหมายปลายทาง เราลองลิสต์สถานที่เทียวในจังหวัดนี้กับจังหวัดคู่แข่่งว่ามีอะไรน่าสนใจ แต่แล้วด้วยคำโฆษณาของเพื่อนสาวที่บอกว่า "ที่นี่เป็นถึงบ้านพักของลุงโฮจิมินห์เชียวนะ" ทำให้เราตัดสินใจตัดใจจากจังหวัดคู่แข่ง และเดินทางมาที่นี่

วันที่สองในนครพนม หลังจากกินข้าวเปียกเส้นหรือก๋วยจั๊บญวนกันจนอิ่มท้องและอิ่มใจ เราตัดสินใจโบกรถตุ๊กๆในตัวเมืองให้ไปส่งยังบ้านลุงโฮ ซึ่งห่างจากตัวเมืองออกไปไกลมากพอสมควร ก็ได้พี่คนหนึ่งพาเราไปส่ง


พี่คนใจดีของเรา


แรกทีเดียวพี่คิดเราสามคนในราคาเหมาหนึ่งร้อยบาท เราสุุดจะโอเคกับราคานี้ พยักหน้าหงึกหงักและกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถตุ๊กๆของพี่อย่างไม่รอช้า คุยไปคุยมาพี่ก็มาเฉลยว่าจริงๆแล้วพี่ไม่ได้เป็นคนขับรถรับจ้างนะ พี่ทำงานอยู่เทศบาลแต่ว่าว่าง เลิกงานพอดี เห็นน้องโบกเรียกพี่ก็เลยหาอะไรทำแก้ว่างหน่อย บ้านลุงโฮนี่พี่ไม่เคยเข้ามาเลย ก็อยากเข้ามาดูเหมือนกัน ซะอย่างนั้น ฮ่าๆๆ

คุยกันไปคุยกันมา หนทางเริ่มไกลและเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าแล้วหลังจากเที่ยวบ้านลุงโฮเสร็จ เราคงต้องเดินออกมายังถนนใหญ่อีกไกลและค่อนข้างอันตราย พี่ใจดีเลยอาสาอยู่รอเราแล้วรับเรากลับเข้าไปในเมือง "ไม่เป็นไร ไปเที่ยวเลย เดี๋ยวพี่รอ ไม่คิดเงินเพิ่ม" พี่พูดทำนองนี้ เราย้ำว่าเราอาจจะเข้าไปนานหน่อยนะคะ พี่ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไปเลยๆๆ ไปเที่ยว ยิ่งทำให้เราซาบซึ้งใจหนักเข้าไปอีก

ไปถึงบ้านลุงโฮ เราพบว่าที่นี่คือสวรรค์ย่อมๆนี่เอง








แปลงผัก แปลงดอกไม้หน้าทางเข้าทำให้เราหลงตะลึงราวกับอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ อาจจะไม่เว่อร์ขนาดนั้น แต่ด้วยสถานที่ บรรยากาศ และอะไรหลายๆอย่างทำให้เรารู้สึกว่านี่ล่ะ คือสวรรค์เล็กๆที่อยู่บนดิน

บ้านลุงโฮเป็นบ้านเล็กๆหนึ่งหลัง เป็นบ้านที่โฮจิมินห์เคยลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ ตอนนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ร่วมมือกันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านลุงโฮ เก็บของเก่าอันได้แก่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆสมัยที่ลุงโฮเคยใช้เอาไว้ในบ้าน พร้อมประวัติลุงโฮนิดหน่อยพอให้เราได้ความรู้

จากตัวบ้านลุงโฮ เราเดินเข้าไปยังบ้านข้างหลัง เป็นบ้านของชาวบ้านที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ที่นี่อยู่ ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้กือบทั้งหมดเป็นชาวเวียดนาม แต่พูดไทยรู้เรื่องเพราะเป็นรุ่นลูรกรุ่นหลานเวียดนามอพยพ ได้เข้ามาใช้ชีวิตในประเทศไทยมานานแล้ว ก็ได้คุยกับคนน่ารักอีกหลายคนทีเดียว พร้อมกับซื้อของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปฝากใครต่อใครด้วย






เราเดินเล่น ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศกันอยู่พักใหญ่ (ใหญ่มาก) จนเกรงใจพี่คนขับรถใจดี เลยรีบกลับออกไป พี่เขาก็ยังรอเราอยู่ที่เดิม แถมยังอาสาพาเราไปเที่ยวที่อื่นต่อ อันได้แก่พิพิธภัณฑ์ปลาน้ำโขง แล้วก็พาเราไปส่งที่สวนสาธารณะที่เป็นเรือนจำเก่าในเมืองโดยไม่คิดตังค์เพิ่มเลย แล้วยังแนะนำร้านส้มตำร้านอร่อยให้อีกแน่ะ! ก่อนจากกัน พี่ใจดีบอกว่า แย่จังที่ไม่ได้อาบน้ำมา นี่ถ้าพี่อาบน้ำสะอาดๆมาแล้ว จะพาไปเที่ยวต่อให้ทั้งวันเลย ฮาๆๆ น่ารักและใจดีขนาดนี้ เอาใจพวกหนูไปเลย :)

การเดินทางวันที่สองในนครพนมจึงเป็นวันที่ดีมาก นอกจากจะได้เจอสถานที่ดีๆแล้ว ยังได้เจอคนดีๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่มากๆอีกด้วย!


Patha V

Sunday, March 10, 2013

เสียงกระซิบจากท้องฟ้าสีดำและฉากบันดาลใจจากธรรมชาติ


กลางดึก
แรงลมโหมพัดพาละอองฝุ่นและกลิ่นฝนเข้ามาภายในห้อง 
เศษกระดาษที่ถูกขีดเขียนเป็นเรื่องราวปลิวกระจายเกลื่อนพื้น 
หลอดไฟบนเพดานกระพริบไหว สว่างบ้าง มืดดับบ้าง 
สายฝนร่วงหล่นจากฟากฟ้าราวกับว่าอัดอั้นมานานแสนนาน 
ต้นไม้เล็กใหญ่โบกสะบัดพัดไหวตามตามแรงลม 
สายฟ้าฟาดเปล่งแสงสว่างวาบพร้อมเสียงกึกก้องอันน่าสะพรึงกลัว 
ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามธรรมชาติที่ถูกสรรค์สร้างเพื่อเพิ่มสีสันให้กับโลกใบนี้ 


กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ความเงียบยามค่ำคืนได้กลับคืนอีกครั้ง 
จะเหลือแต่เพียงเม็ดฝนที่เกาะตามกิ่งก้านต้นไม้ใบหญ้าซึ่งค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน 
ไม่นานนักนกน้อยส่งเสียงจิ๊บๆ บอกเวลาใกล้รุ่งสาง 
เหล่าผู้คนเตรียมตัวออกเดินทางในเช้าวันใหม่อีกครั้ง 


เช้าแล้ว
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
โดยมีแสงตะวันบนฟากฟ้าไกลเป็นผู้ส่องแสงนำทาง





 ส่งท้ายคอลัมน์ The Sounds And The Scenes





That Original Frippo

Thursday, March 7, 2013

Getting a Job (I)


กลับไทยไปรอบนี้ พี่ได้หิ้วคีบอร์ดภาษาไทยกลับมาใช้ที่ทำงานด้วย บล๊อกหน้านี้จึงเกิดขึ้นระหว่างการอู้งานนั่นเอง :)

พี่ว่าตัวเองโชคดีมาก ที่ได้โอกาสทำงานที่นี่ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆและได้โอกาสเก็บเงินคืนพ่อกับแม่หลังเรียนจบ การหางานที่นี่นั้นจะว่ายากมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสาขาที่เรียน เช่น ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และวิศวกรรมก็จะหางานง่ายกว่านักเรียนบริหาร แต่ก็ต้องขึ้นกับรัฐที่เราอยู่ด้วย ด้านการตลาด ก็อาจจะหางานได้ง่ายกว่าในเมืองใหญ่ๆ ที่พี่ไม่ได้บอกว่า “ยากหรือง่าย” แต่ใช้คำว่า “ยากมากหรือน้อย” นั้นเพราะการหางานทำที่อเมริกาของเด็กต่างชาตินั้นซับซ้อนซ่อนเงื่อน (จริงๆ) ทั้งเรื่องกฎกติกา, วีซ่า, work permit แล้วยังก็ต้องต่อสู้ฝ่าฟันกับคู่ต่อสู้เจ้าของภาษาที่ได้เปรียบกว่าเราๆอีกด้วย

พี่จบมาทางด้าน Information Systems ถ้าจะให้อธิบายอย่างคร่าวๆ Information Systems ก็คือการบริหารและจัดการข้อมูลทางด้านสารสนเทศ เราจะไม่เรียนด้าน IT ลงลึกเท่านักเรียน Computer Science หรือ Computer Engineering แต่ก็เรียนอย่างคร่าวๆ ว่าเราจะต้องจัดการข้อมูลยังไงโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพราะมันเป็นวิชาที่กึ่งๆบริหาร กึ่งๆ IT วิชาที่พี่เรียนนั้นก็เลยออกแนวรวมๆสองสาขา คือต้องเรียน Finance, Marketing และก็ต้องเรียน Database, Network อย่างคร่าวๆด้วย... ตรงนี้ไม่เกี่ยว แต่เนื่องจากเพิ่งได้คุยกับ Contributor บล๊อกวันอาทิตย์ The Sounds and the scenes ซึ่งเค้าต้องไปอบรม CRM แล้วตัวเค้าเองก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร CRM หรือ Customer Relationship Management นี่ก็เป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับพี่เรียน (แต่พี่ไม่ได้ลง 55) คือ เป็นเรื่องที่เริ่มตั้งแต่เราจะควรจะเก็บข้อมูลลูกค้ายังไง วิเคราะห์ ประมวลผล และ นำมาใช้ยังไงให้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าและบริษัท

พี่เริ่มฝึกงานช่วง Summer ปี 2012 และก็เป็นเทอมสุดท้ายก่อนจบที่พี่ต้องเรียนอีกแค่วิชาเดียว ถึงแม้การที่พี่เรียนสาขาเกี่ยวข้องกับ IT และยังอยู่ใน Denver ซึ่งตอนนี้งานด้าน IT กำลังบูมสุดๆ ทำให้พี่หางานได้ยากน้อยกว่าคนอื่นเค้านิดหน่อย แต่ขนาดว่ายากน้อยแล้ว ก็ยังหนักหนาสาหัส ช่วงตอนหาที่ฝึกงานนั้นก็ถึงขนาดถอดใจ กลับบ้านดีกว่า ฉันมานั่งเหนื่อยอะไรที่นี่ :( ส่งใบสมัครไปหลายที่มากทั้งทางเว็บมหาลัย ทั้งบอร์ดทำงาน ไม่มีที่ไหนตอบมาซักที่ ช่วงใกล้ถอดใจก็ได้รับการตอบกลับจากบริษัทหนึ่งที่ชื่อไม่ค่อยคุ้ย พี่หาข้อมูลรับสมัครเด็กฝึกงานของบริษัทนี้ได้จากการเซิช Google เค้าได้นัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในวันถัดมา

การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์นั้นคงเป็นเรื่องง่ายของคนที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับนักเรียนต่างชาติ คิดดูสิ คุยแบบไม่เห็นหน้า มองไม่เห็นปาก ก็เดายากแล้วว่าเค้าพูดว่าอะไร แล้วยังต้องกังวลอีกว่าเค้าจะฟังสำเนียงเราออกมั้ยนะ น้ำเสียง แกรมม่า คำศัทพ์เราจะดูฉลาดรึเปล่า โอ๊ยย สารพัดเรื่องมาก ก่อนหน้าวันสัมภาษณ์พี่ก็ทำการบ้านหนักหน่อย โดยพยายามลิสต์คำถามที่คิดว่าเค้าน่าจะถามกัน เช่น การแนะนำตัว ความสามารถของเรา ทำไมถึงอยากทำในตำแหน่งนั้น แล้วพี่ก็เขียนคำตอบ เหมือนที่เขียนเรียงความส่งอาจารย์นั่นแหละ แต่เขียนแบบเป็นทางการน้อยหน่อย แล้วฝึกพูดคำตอบพวกนั้น ปากและลิ้นเราจะได้ชินกับคำศัพท์ที่อาจจะไม่ได้ใช้บ่อย นอกจากคำตอบที่เราต้องเตรียมแล้ว พี่ก็ได้เตียมคำถามไว้ถามเค้าด้วย อันนี้เป็นทิปควรจำเลย เพราะว่าเราจะได้แสดงให้เค้ารู้ว่า เรามีการหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและให้ความสำคัญกับตำแหน่งที่สมัคร คำถามที่ควรถาม เช่น วัฒนธรรมบริษัทเป็นอย่างไร ถ้าได้รับงานควรจะเตรียมความรู้ด้านไหนเป็นพิเศษ เป็นต้น

เริ่มยาวแล้ว มาต่อครั้งหน้าเนอะ :)


Mellow tiger..



ปล. หลังจากที่เขียนเรื่องนี้ได้ พี่เพิ่งนึกได้ ว่าพี่ควรเขียนเรื่องการเข้าเรียนก่อนการสมัครงาน 55 ขอเก็บไว้เป็นหัวข้อต่อไปละกัน :)



Tuesday, March 5, 2013

To Nakhon Phanom With Love (3)



ทุกย่างก้าวมีเรื่องราวให้เก็บจำ

To Nakhon Phanom With Love (3)

: Street Photography






ความสุขอย่างหนึ่งของฉันและเพื่อนรู้ใจ คือการได้เดินทอดน่องในเมือง ปล่อยให้สองขาและหนึ่งใจนำทางไป

เราต่างคิดเห็นเหมือนกันว่า เมื่อเราได้ก้าวเดิน ช้าๆ ก้าวต่อก้าว ไปข้างหน้า สายตาจะมีโอกาสได้มองเห็นสิ่งสวยงามระหว่างทาง มากยิ่งกว่าการเดินทางด้วยพาหนะอื่นใด






วันแรกในนครพนม เราเดินเล่นในเมืองกันอย่างหิวกระหาย ราวกับคนถูกจำกัดเสรีภาพ ไม่ได้เดินกันมาเป็นเวลานาน เดินอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย


หากใครแอบย่องตามพวกเรามา คงจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะผ่านไปตรอก ซอก ซอยไหน เราจะมีมุมให้เก็บภาพกันได้เสมอ

เขาเรียกภาพที่ถ่ายตามท้องถนนนี้ว่าอย่างไรกันนะ สตรีทโฟโต้หรือเปล่า ฉันไม่รู้ว่าชื่อจริงๆของมันคืออะไร แต่ฉันชอบรูปถ่ายแบบนี้ เช่นเดียวกับที่ชอบถ่ายรูปแบบนี้




ฉันชอบเวลาที่ได้ถ่ายอะไรเล็กๆน้อยๆริมทาง ชอบเวลาได้แอบถ่ายรอยยิ้มหรือรอยย่นของผู้คนบนท้องถนน เพราะนี่คือชีวิตจริงของพวกเขาเหล่านั้น คือความรู้สึกจริงๆที่ไม่ต้องผ่านการเสกสรรปั้นแต่งเหมือนยามอยู่ในสตูดิโอถ่ายภาพ ฉันชอบถ่ายคนยามเผลอ ชอบถ่ายตรอกซอกซอยที่เราไม่มีวันจะได้พบยามนั่งรถผ่านไป ชอบพบเจอสิงสาราสัตว์และดอกไม้ริมทางที่มักแอบซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบเล็กๆ

ความสุขหนึ่งในการมานครพนมครั้งนี้จึงเป็นการเดินเล่นเพื่อถ่ายภาพเช่นนี้ และความสุขที่เหนือไปกว่า คือความสุขจากการที่รู้ว่า เพื่อนร่วมทางของเราก็มีความสุขเช่นเดียวกันกับเรา



Patha V