Thursday, March 28, 2013

Getting a Job (III)


หลังจากผ่านกานสัมภาษณ์รอบนั้น ใจพี่ก็ตุ้มๆต่อมๆตลอดทั้งอาทิตย์ ใจนึงก็มีความหวังเล็กว่าน่าจะได้ เพราะหลังจากจบการสัมภาษณ์ เค้าได้พาพี่พาไปเดินทัวร์ ออฟฟิซ และพาไปรู้จักกับ Director แต่อีกใจนึงพี่ก็ไม่อยากตั้งความหวังไว้มาก ไม่ได้ไม่เป็นไร เราก็สู้กันต่อ... หลังจากนั้นสองวัน มีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆโทรเข้ามา ปลายสายแจ้งว่า “เรายินดีด้วย คุณได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนฝึกงานที่บริษัทเรา” พี่แทบอยากจะกรี๊ดอยู่ตรงนั้น แต่ต้องเก็บอาการไว้ เพราะต้องคุยเรื่องเอกสารและเงินเดือนกันต่อ :)

หลังจากที่ได้ที่ฝึกงานแล้วเราก็ต้องไปติดต่อที่ Career Center ของมหาวิทยาลัย เพื่อจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ โดยทางมหาวิทยาลัยจะออกใบสัญญากับนายจ้าง ว่านายจ้างจะต้องรับเราทำงานตำแหน่งอะไร ต้องปฏิบัติกับเราอย่างเหมาะสม เป็นต้น แต่ที่พิเศษกว่านักเรียนชาวอเมริกันคือ นักเรียนต่างชาติที่ได้ที่ฝึกงานแบบได้รับค่าจ้าง หรือ Paid Internship จะต้องไปติดต่อที่ International Student Services Office เพื่อติดต่อเรื่องการขอ CPT (Curricular Practical Training) และออก I-20 (เอกสารวีซ่านักเรียน)ให้ใหม่ ซึ่งเจ้า I-20 ใบใหม่นั้น จะระบุว่าเราได้ฝึกงานที่บริษัทอะไร ทำงานตำแหน่งอะไร เริ่มจากวันไหน สิ้นสุดวันไหน

การที่เราได้ที่ฝึกงานโดยเฉพาะสำหรับนักเรียนต่างชาตินั้น เหมือนเป็นใบเบิกทางให้หางานได้ขึ้น บางคนนั้นอาจโชคดีได้ทำงานต่อในบริษัทที่ฝึกงานเลย (ซึ่งพี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น) นอกจากเรื่องนี้แล้ว เรายังได้ประสบการณ์การทำงานที่มีค่ามากๆ ถ้าจะให้เปรียบทียบกับวัฒนธรรมการทำงานของที่นี่กับที่บ้านเรา มันมีความต่างและข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป (ส่วนที่จะกล่าวถึงมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของพี่นะ คนอื่นอาจเห็นต่างออกไป) ที่นี่จะทำงานกันเป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน และมีการแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานอย่างชัดเจน คือเจ้านายจะเน้นที่ตัวผลงานมากกว่ามาจี้เรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ตอนอยู่บ้านเรา ถึงแม้งานเลิกห้าโมงเย็นแต่ก็เป็นวัฒนธรรมของบริษัทที่ต้องนั่งอยู่กันต่อถึงห้าโมงครึ่ง เพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่าเราขยัน ตั้งใจทำงาน แต่ที่นี่มีเวลาเข้าออกชัดเจน ไม่ต้องนั่งยาวต่อกันหลังเลิกงาน ถ้าเราติดธุระที่บ้าน สามารถทำงานที่บ้านได้ แต่งานต้องเสร็จและส่งให้ทันกำหนด

ถึงแม้การที่ได้ที่ฝึกงานนั้น จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เราได้ทำงานหลังจากเรียนจบ แต่สิ่งที่พี่ดีใจมากกว่านั้น คือในที่สุด พี่ก็สามารถหารายได้เป็นของตัวเอง และสามารถเริ่มเก็บเงินคืนพ่อกับแม่ได้ ถึงแม้มันอาจจะใช้เวลานาน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ค่าใช้จายทั้งหมดที่พี่ใช้ในการเรียนต่อที่นี่ พี่เชื่อว่าจริงๆแล้วพ่อแม่ทุกคนก็คงไม่ได้ตั้งความหวังว่าลูกจะต้องหามาคืน แต่สำหรับพี่ เงินก้อนนั้นมันเป็นเวลาที่เค้าเก็บมาให้เราตลอดชีวิต (20 กว่าปี) ดังนั้นเราก็ควรจะ”พยายาม”เก็บเงินและคืนเงินก้อนนั้นให้เค้า คิดดูสิในตอนที่พ่อแม่อายุเท่าพี่ในตอนนี้ เค้าก็แต่งงานมีพี่และเริ่เมเก็บเงินหาสร้างอนาคตให้พี่แล้ว ตอนนี้เราตัวคนเดียว ทำไมเราจะเก็บเงินคืนเค้าไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ



Mellow tiger..





ปล. ถึงแม้งานนี้จะหาเจอจาก Google แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นบริษัทที่จัดการดาวเทียมอันดับ 4 ของโลกเลยทีเดียว :)

0 comments:

Post a Comment