Thursday, February 14, 2013

Coming Home (I)


11 มกราคม 2554 คือวันที่พี่ออกจากไทยเพื่อไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกา จนถึงวันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2556) ก็เป็นเวลาสองปีกับอีกหนึ่งเดือนแล้วสินะ ที่พี่ไม่ได้กลับบ้าน...

พี่ใช้เวลาวางแผนการเดินทางนี้ถึงหกเดือน พอเริ่มเข้างานได้เดือนแรก พี่ก็ขอหัวหน้าลาพักร้อนในปีถัดไป ซึ่งหัวหน้าก็ใจดียอมโยกเวลาพักร้อนจากปี 2555 มาใช้ในปีนี้เพื่อที่พี่จะได้กลับบ้านได้นานขึ้น พอใกล้ๆมาถึงวันกลับเพื่อนร่วมงานและคนใกล้ตัวพี่จะสังเกตได้ชัดว่า ยิ่งใกล้ถึงวันกลับบ้าน พี่จะยิ้ม หัวเราะและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอถึงวันที่ทำงานวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับไทย ใจก็ไม่ได้อยู่ที่ทำงาน มันลอยไปถึงไทยแล้ว พี่ยิ้มและหัวเราะอย่างที่ไม่เคยทำมานาน พี่รู้สึกว่ากำลังจะได้กลับไปในที่ของพี่ ที่ๆมีคนรักและเป็นห่วงพี่อยู่ พี่ส่งเมซเสจไปหาคนไกล(ตัว)ที่อยู่ที่บ้านว่า “พี่มีความสุขมาก พี่ไม่ได้ยิ้มและหัวเราะเยอะอย่างนี้เป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว”

ในคืนก่อนกลับ พี่ได้ออกไปเจอเพื่อนใหม่เป็นชาวอเมริกันที่เคยมาอยู่ไทยได้หกปี ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแต่เราก็คุยกันถูกคอ เค้ามีเรื่องราวประสบการณ์ที่เคยอยู่เมืองไทย ได้ทำงานในศูนย์ผู้อพยพตามขอบชายแดนไทยพม่ามาแลกเปลี่ยนให้พี่ฟังอย่างสนุกสนาน เราคุยกันนานถึงสองชั่วโมงกว่า ทั้งๆที่ตอนแรกพี่วางแผนว่าจะเจอกันนิดๆหน่อยพอเป็นพิธี พอกลับถึงบ้านเค้าส่งเมสเซจมาขอบคุณที่ออกไปเป็นเพื่อนเค้า ได้คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน พี่สงสัยว่าถ้าเค้ามาเจอพี่ในตอนที่พี่ซึมเศร้า คิดถึงบ้านอย่างรุนแรง ความรู้สึกที่เค้ามีต่อเพื่อนใหม่อย่างพี่จะเปลี่ยนไปในอีกทางมั้ยนะ :)

การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ พี่เลือกใช้สายการบิน United บินออกจาก Denver ไป Seattle, Tokyo และมาถึงจุดหมายที่กรุงเทพ.. ตอนที่เครื่องบินบินออกมาจากเดนเวอร์แล้วมองผ่านเส้นขอบฟ้าที่ตัดกับเทือกเขา  พี่มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนเรากำลังบินออกจาก”บ้าน” นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะมีความรู้สึกนี้เข้ามาในหัว ความรู้สึกที่มีคือดีใจที่ได้กลับบ้านแต่มันก็ปนความเศร้าที่ต้องห่างจากบ้านหลังที่สอง สงสัยพี่คงเริ่มมีความผูกพันกับที่นี่เข้าแล้ว


Colorado, USA - February 9, 2013


การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ราบรื่นนัก มีข้อหงุดหงิดในหลายอย่าง ทั้งจากพนักงานสายการบินที่ดูไม่เอาใจใส่ลูกค้า และเพื่อนร่วมทางที่นั่งติดกันจาก Seattle ไป Tokyo ประเทศญี่ปุ่น เธอเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 20 ต้นๆ เค้าต้องการให้สามีเค้าแลกที่กับพี่ ซึ่งตอนแรกพี่ก็จะตกลงแต่ปัญหาที่ว่า คุณสามีนั่งที่ริมทางเดินตรงกลาง ซึ่งมีที่นั่งติดกัน 5 ที่นั่ง ต่างจากทางเดินริมหน้าต่าง ที่มีที่นั่งแค่สองที่เท่านั้น พอพี่ปฏิเสธและขอโทษ คุณเธอก็ดูไม่ได้ยินดีเท่าไหร่นัก รับคำขอโทษของพี่แบบผ่านๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเค้าควรจะเป็นคนรู้สึกผิดที่สร้างสถาณการณ์กระอักกระอ่วนให้เพื่อนร่วมทางอย่างนี้ ตลกดีที่คุณสามีดูไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรมากมาย นั่งเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในระหว่างการเดินทางสิบชั่วโมงนั้น เธอขอเข้าออกไปหาสามีประมาณสิบครั้ง ความเกรงใจของเธอถูกกลบด้วยความอยากใกล้ชิดสามี ถึงตรงนี้พี่อยากขอเตือนสาวๆว่า คนเรามีคนรักก็ต้องเว้นช่องว่างความเป็นส่วนตัว ปล่อยให้แต่ละฝ่ายได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง จะได้มีเวลาคิดถึงกัน คิดดูสิถ้าเค้ามองในแง่ดีว่า เรานั่งห่างกันสิบชั่วโมงแล้วค่อยมาเจอกัน เราก็มีเรื่องต่างๆมาแลกเปลี่ยนนู่นนั่นนี่ เช่น เนี่ยเธอ สาวไทยที่นั่งข้างๆชั้นนะ แผ่รังสีอำมหิตใส่ชั้นตลอดเลยอะ :P อย่างคู่นี้พี่เดาว่าคงเพิ่งรักกันใหม่ๆ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัวติดกันขนาดนั้น รู้อย่างนี้พี่ยอมแลกที่นั่งให้ตั้งแต่แรกแล้ว

ในการเดินทางทุกๆครั้งพี่จะติดหนังสือหนึ่งหรือสองเล่มเพื่ออ่านในเวลาว่าง การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ หนังสือที่พี่เลือกคือ นั่งรถไฟไปตู้เย็นโดยนิ้วกลม ที่เลือกหนังสือเล่มนี้ เพราะตั้งใจจะอ่านให้จบจะได้เอามาคืนน้องสาวที่อยู่ที่ไทย พี่ว่าคิดถูกมากๆ เพราะมีข้อคิดหลายอย่างที่พี่อ่านแล้วรู้สึกว่าโดน อยากได้ปากกาไฮไลท์มาขีดเน้นข้อความหลายๆช่วง อาจเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ตอนนิ้วกลมได้เขียนตอนทำงานอยู่ไกลบ้าน พี่เลยรู้สึกเข้าถึงในหลายๆคำพูดที่เค้าสื่อออกมาได้อย่างดี..

“ สิ่งที่ทำให้บ้านน่าอยู่มากขึ้นก็คือการเดินทางไกลออกมาจากบ้านนั่นเอง”

นั่งรถไฟไปตู้เย็น, นิ้วกลม




Mellow tiger..


0 comments:

Post a Comment