Thursday, April 25, 2013

Getting Sick


พี่ขอโทษด้วย ที่อาทิตย์ที่แล้วหายไป สุขภาพกายและใจย่ำแย่มากอาทิตย์ที่แล้ว พี่หวังว่ามันคงเป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดของปี 2556 และหวังว่าเรื่องร้ายๆที่ผ่านไปแล้วนั้นจะไม่กลับมาอีกแล้วในปีนี้... ว่าด้วยเรื่องสุขภาพกายย่ำแย่ อาทิตย์ที่แล้วพี่ป่วยทั้งอาทิตย์ พี่ก็เลยได้หัวข้อเรื่องเล่า(บ่น)ของอาทิตย์นี้คือเรื่องระบบสุขภาพของประเทศอเมริกา

ในคืนวันอาทิตย์ในช่วงสงกรานต์นั้นพี่ก็ป่วย แต่ไม่ได้เป็นไข้เหรือปวดหัว แต่เป็นโรคที่โหดกว่านั้นคือ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ พี่เริ่มมีอาการตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ ตอนที่พี่นั่งเล่นเกมส์พี่อยากเข้าห้องน้ำมาก แต่ก็อั้นไว้ก่อนเพื่อที่จะเล่นให้จบเกมส์ (ค่ะ ต่อว่าพี่มาเลย พี่ป่วยเพราะอั้นฉี่ตอนเล่นเกมส์ - -“) ถ้าจะให้เห็นภาพ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกำลังดึงเชือก ดึงจนเชือกขาดแล้วไม่มีความรู้สึกไปเลย พี่เคยเป็นโรคนี้เมื่อสามปีที่แล้ว อาการคือจะปวดฉี่บ่อยมาก และเหมือนฉี่ไม่สุด และพอฉี่เสร็จจะมีอาการปวดแสบบริเวณปลายท่อปัสสาวะ ทรมานมากๆ พอกลางดึกคืนนั้น พี่ก็เริ่มมีอาการ แล้วพี่ก็รู้ตัวว่าโดนเจ้าโรคนี้มันกลับมาคุกคามอีกแล้วแน่ๆ

วันจันทร์พี่ไปทำงาน อาการนั้นก็ยังไม่หายไปไหน และเริ่มแย่ลงหลังจากพักเที่ยง พี่เริ่มเข้าห้องน้ำทุกสิบห้านาที และพอตกเย็น พี่เริ่มเห็นเลือดเป็นลิ่มๆออกมากับฉี่ รู้ตัวว่าไม่อยากไปหาหมอแและคงไปหาหมอไม่ทัน (จะเล่าให้ฟังทีหลังว่าทำไมไม่อยากไปหาหมอ) พี่เลยทำการรีเซิสและอ้างอิงจากกูเกิ้ลได้ว่าคนเป็นโรคนี้ให้ดื่มน้ำเยอะๆและให้กินยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบที่บ้านเรากินกันเวลาเจ็บคอ แต่ที่นี่ยานั้นหายากเพราะต้องให้หมอจ่ายเท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้เองจากร้านขายยาเหมือนบ้านเรา วันนั้นทั้งวันพี่ก็เลยดื่มน้ำไปประมาณสี่ – ห้าลิตร (เรียกว่าสูบน้ำเข้าไปเลยดีกว่า) โชคดีที่เพื่อนคนไทยมียาแก้อักเสบ พี่เลยจะไปเอายาที่เค้าหลังจากเลิกงาน (เนื่องจากไม่ไปหาหมอกูเกิ้ลเลยเป็นทางออกของพี่ในการวินิจฉัยโรค - -“)

แล้ววันนั้นไม่รู้ซวยอะไรไม่รู้ พายุหิมะเข้าเดนเวอร์ สิ่งที่พี่ห่วงที่สุดคือตอนขับรถกลับบ้าน ถ้าอากาศแย่อย่างนี้มันอาจใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วพี่จะไปฉี่ที่ไหน - -“ วันนั้นพี่เลยตัดใจไม่ใช้ Highway ไปใช้ถนนเส้นข้างล่างแทน โชคดีของพี่ ที่พี่ถึงบ้านภายในเวลาแค่สิบห้านาที แต่พอถึงบ้านพี่ไปฉี่อีกครั้ง ฉี่ที่ตอนแรกเป็นสีใสๆปกติแต่ปนกับลิ่มเลือก ได้ออกมาเป็นสีแดงชมพู ซึ่งมันเป็นฉี่ปนกับเลือด เวลานั้นคิดจะไปหาหมอก็คงไม่ทันแล้ว เพราะหมอที่นี่ต้องนัดก่อนถึงจะไปหาได้ ถ้าไปเวลาหลังที่หมอเลิกงาน ต้องเข้า ER (Emergency Room) เท่านั้น ซึ่งแพงหูฉี่ ถึงประกันที่พี่มีมันจะช่วยรองรับค่าใช้จ่ายกันบ้าง แต่ประกันของพี่เป็นแบบที่ $1200 แรกของปี พี่ต้องจ่ายเอง แสดงว่าถ้าพี่เข้า ER เพื่อให้เค้าบอกพี่ว่า “ไปหายาแก้อักเสบมากินซะ แล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ” พี่อาจต้องเสียเงินอย่างต่ำ $500 เลยก็ได้

เรื่องระบบสุขภาพของอเมริกานั้น กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าสู้กับระบบที่ไทยไม่ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าประเทศมหาอำนาจของโลก จะมีระบบสุขภาพที่เทียบไม่ติดกับประเทศเล็กๆบ้านเราอย่างมาก คือที่นี่ ถ้าไปหาหมอต้องทำการนัดก่อน ซึ่งบางกรณีถ้าให้รอก็คงแย่กันก่อนพอดี เช่น เมื่อปลายปีที่แล้ว มีพี่คนไทยที่นี่ไปเล่นสโนวบอร์ดแล้วล้ม กระดูกไหปลาร้าหัก แทนที่จะมีการส่งไปโรงพยาบาลแล้วรับการผ่าตัดทันที แต่ไม่ค่ะ หมอให้ยาแก้ปวดแบบระงับประสาทอย่างแรงมากิน แล้วให้ไปนัดหมอเพื่อทำการผ่าตัดต่อไป พี่ซึ่งเป็นคนจัดการเรื่องนัดหมอ โทรไปหลายที่มาก กว่าจะได้คิวเร็วที่สุดคือวันพฤหัส ลองคิดดูสิ กระดูกหักวันอาทิตย์บ่าย ผ่าตัดวันพฤหัสตอนเช้า และหลังจากที่หักค่าประกันแล้วทั้งหมด พี่คนนั้นเสียค่าหมอไปเป็นแสน ทั้งๆที่ไม่มีการนอนโรงพยาบาลใดๆทั้งสิ้น อีกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงคือ เมื่อสองปีที่แล้วพี่เจ็บคออย่างหนัก จนไข้ขึ้นสูงมาก เลยต้องยอมเข้า ER สิ่งที่พี่ได้รับจากไปหาหมอคือ “กินไทลีนอล แล้วดื่มน้ำเยอะๆนะ” พร้อมทั้งเก็บเงินพี่ไป $100... ในระยะเวลาสองเดือน พี่เข้า ER 3 รอบเสียครั้งละร้อย ได้รับคำตอบเดิมๆ แล้วก็ไม่หายซะที พี่เลยหาทางออกด้วยการไปเอายาแก้อักเสบของเพื่อนมากินถึงจะหาย ถ้าพี่ไม่มีประกันนักเรียน พี่ไม่ได้เสียแค่ $100 ต่อครั้ง แต่เสียเงินทั้งหมดรวมๆแล้วมากกว่า $1,000 ต่อครั้ง


Denver, CO - April 15, 2013



ในคืนนั้นอาการพี่แย่ลงเรื่อยๆ ฉี่ผสมเลือดทุกสิบนาที ดื่มน้ำเท่าไหร่ก็ออกหมด แต่ก็ต้องทนขับรถฝ่าพายุเพื่อไปเอายาจากเพื่อนตอนเวลาสามทุ่ม ถึงตอนนั้นไข้ขึ้นและไม่มีแรง พี่ก็เกรงใจไม่กล้าขอให้คนอื่นขับรถไปเอายามาให้เพราะพายุหิมะตกหนักและลมแรงมาก ตามท้องถนนนี่แทบไม่มีคน และแทนที่จะใช้เวลาไปบ้านเพื่อนแค่ 10 นาที แต่วันนั้นพี่ใช้เวลาทั้งหมดเกือบครึ่งชั่วโมง

ในเวลาที่พี่ป่วยคนที่พี่คิดถึงมากที่สุดก็คือแม่ ถ้าอยู่ไทยพี่คงไปหาหมอได้ทันทีและไม่ต้องมาทนป่วยอย่างนี้ และเวลาป่วยแม่ก็จะช่วยหาข้าวให้กิน แต่อยู่ที่นี่ถึงป่วยแค่ไหนก็ต้องมาต้มมาม่ากินเอง (อาหารหลักตอนป่วยของพี่) และก็ต้องขอบคุณเพื่อนที่คอยคุยอยู่เป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊ค มีเพื่อนคนนึงเป็นห่วงมาก ขนาดออกไปซื้อยาและส่งไปรษณีย์จากไทยมาให้ทันทีหลังจากที่รู้เรื่อง (ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ถึง 55) ...พี่สัญญากับตัวเอง ว่าจะรักษาสุขภาพและไม่อั้นฉี่อีกแล้ว :)



Mellow tiger..







0 comments:

Post a Comment