เมื่อสายลมแห่งฤดูหนาวแรกของปีพัดผ่านมา
ฉันพบว่าตัวเองกำลังย่ำอยู่บนผืนดินของจังหวัดน่าน
7ประตู 1หนอง 12วัด
‘7 ประตู 1 หนอง 12 วัด’ ใครๆต่างขนานนามให้ตัวเมืองน่านเช่นนี้
ด้วยลักษณะเมืองน่านแต่อดีตที่มีการวางผังเมืองมาอย่างดี
มีประตูเข้าออกสำหรับกิจต่างๆแตกต่างกันออกไปถึง 7 ประตู มี 1
หนองน้ำใหญ่อยู่กลางเมืองเปรียบเสมือนใจเมือง และมีวัดสำคัญอยู่ถึง 12
วัด --- ตามการจัดลำดับ
เมืองน่านอาจไม่ใช่เมืองที่มีวัดมากที่สุดในประเทศ
แต่เมืองเล็กๆแห่งนี้ก็เป็นเมืองที่มีวัดตั้งอยู่หนาแน่นมากที่สุดเมืองหนึ่งเมื่อเทียบกับพื้นที่และอัตราประชากร
เราเริ่มต้นทำความรู้จักน่านด้วยการรู้จักตัวเมือง
ศูนย์กลางอารยธรรมและที่ที่เราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์และพัฒนาการเมืองน่านได้อย่างดีที่สุดก่อน
ปราชญ์มัคคุเทศก์ผู้นำชมเราเดินชื่อพี่ดอย
เป็นนักศึกษาปริญญาโทด้านการจัดการวัฒนธรรมโดยเฉพาะ พี่ดอยพาเราชมวัดต่างๆเรียกได้ว่าเกือบครบทั้ง
12 วัดตามคติ 7 ประตู 1 หนอง 12 วัด ทั้งวัดหัวข่วง วัดที่สะท้อนศิลปะสกุลช่างน่าน
วัดพระธาตุช้างค้ำซึ่งเป็นวัดหลวง วัดพญาภูที่มีพระพุทธรูปปางลีลาที่งดงามจับตา
วัดมิ่งเมือง สถานที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองน่าน รวมทั้งวัดภูมินทร์ สุดยอดวัดที่เป็นหมุดหมายการเดินทางของผู้มาเยือน
พี่ดอยมีความรู้ และพูดเก่ง
เราจึงได้รับความรู้แบบอัดแน่นชนิดอ่านตำราหลายเล่มก็อาจจะยังไม่ได้ความรู้มากเท่านี้
--- เราปิดท้ายการเดินทางของวันที่วัดภูมินทร์
หลังจากชมจิตรกรรมฝาผนังกันจนอิ่มตาแล้ว เราออกไปนั่งอยู่ที่ลานหน้าวัดเพื่อรอถ่ายแสงกลางคืน
สภาพทุกคนในตอนนั้นเหนื่อยอ่อน แต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอถ่ายภาพที่สวยงามที่สุด
และเมื่อท่านเจ้าอาวาสเปิดไฟในวิหารจัตุรมุขให้
เราต่างก็เล็งถ่ายวัดในมุมมองของตัวเอง บางคนนั่ง บางคนหมอบ บางคนนอน
ท่าถ่ายภาพของแต่ละคนหน้าลานวัดในวันนั้นยังเป็นภาพที่ตรึงใจฉันมาจนวันนี้
ความทรงจำขมหวานที่บ้านสันเจริญ
“ตื่นก็กินกาแฟ เที่ยงก็กินกาแฟ” ใครสักคน
หรือบางทีอาจจะหลายคน
ร้องเพลงนี้ขึ้นมาขณะยกแก้วที่ภายในบรรจุของเหลวรสชาติขมอมหวานขึ้นซดเป็นแก้วที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ของวัน
ไม่ต้องแปลกใจ เมื่ออยู่ที่นี่เราได้กินกาแฟแทนน้ำชา
หรือบางทีอาจจะแทนน้ำเปล่า --- ที่ที่เรายืนซดกาแฟกันอยู่แห่งนี้มีชื่อว่า หมู่บ้านสันเจริญ
เราเดินทางจากอำเภอท่าวังผาขึ้นไปที่หมู่บ้านสันเจริญ
หมู่บ้านของชาวเขาเผ่าเมี่ยน ในอำเภอท่าวังผา
ในตอนบ่ายของวันที่ความป่วยไข้มาเยือนฉันชนิดไม่ให้ตั้งตัว --- ทางเดินเข้าสู่หมู่บ้านยากลำบาก ชันและคดเคี้ยว รถตู้ของเราที่เราเต็มใจขนานนามให้มันว่า ‘ปลาช่อน’ แทบสะบักสะบอมเมื่อขึ้นไปถึงที่ทำการแปรรูปกาแฟสวนยาหลวง
ซึ่งเป็นทั้งที่ทำการหมู่บ้านและศูนย์แปรรูปกาแฟ
คนที่ออกมารับรองเราเมื่อแรกพบคือรองเส็ง
เป็นหัวหน้าชุมชนที่ดูแลหมู่บ้านและกิจการกาแฟโดยเฉพาะ
ตอนที่ขึ้นไปนั้นเป็นเวลาเกือบ 4 โมงเย็น
สภาพแต่ละคนเหนื่อยอ่อนกับการเดินทางที่ยากลำบากและยาวไกล
แต่รองเส็งก็ยังต้อนรับเราด้วย... กาแฟ
หลังคุยรายละเอียดกันเรียบร้อย รองเส็งพาเราไปชม
“น้ำออกรู” ถ้ำหินที่มีรูโหว่ขนาดใหญ่และมีน้ำไหลออกมาจากรูตลอดเวลา
ว่ากันว่าถ้าผู้ชายเพ่งมองนานๆจะเห็นตรงรูโหว่เป็นรูปผู้หญิง
ขณะที่ผู้หญิงมองก็จะเห็นเป็นผู้ชาย เราพากันเพ่งมองอยู่นานแต่ก็ยังมองไม่เห็นเป็นรูปร่างดังว่า
--- จากนั้นก็พาไปดูลานกางเต้นท์บริเวณวัดพุทธานุภาพ
พาไปชมบรรยากาศของหมู่บ้านยามเย็น ที่มีชาวเมี่ยนออกมาเดินเล่นในชุดประจำเผ่าสุดคลาสสิก
อากาศตอนเย็นของกลางเดือนพฤศจิกายน บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่าพันเมตร
ก็พอจะทำให้กายหนาวได้บ้าง ลมหนาวพัดมาสัมผัสกายแผ่วๆ
ใครบางคนในกลุ่มเราเริ่มถามหาเสื้อกันหนาว
ใครอีกบางคนน้ำเสียงตื่นเต้นที่จะได้ใช้เสื้อกันหนาวเป็นครั้งแรกของปี --- ความยากลำบากในการขึ้นมา
โค้งในดงดอยที่สาหัส รวมทั้งความหนาวน่าจะทำให้ฉันอาการทรุดหนัก แต่น่าแปลก
เพียงได้สบตากับดอยสูง ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ผิวกายได้สัมผัสลมหนาว ความป่วยไข้ที่ไม่ได้รับเชิญในช่วงเช้าก็มลายไปหมดสิ้น!
เย็นวันนั้นเราเข้าไปพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้าน
มีพี่สุดเขต ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านมาต้อนรับ คืนนี้เราจะนอนกันที่นี่ พูดคุยทำความเข้าใจเรื่องหมู่บ้าน
ถามไถ่เรื่องการปลูกกาแฟอาราบิก้าอันเป็นอาชีพหลักของชาวสันเจริญจนได้ข้อมูลเต็มแน่น
พี่สุดเขตก็จัดอาหารเย็นมารับรองชาวคณะ เย็นนั้นเรานั่งล้อมวงกันรอบขันโตกขนาดใหญ่
มีเก้าอี้หวายตัวเล็กๆเป็นเก้าอี้ประจำกาย มือหนึ่งถือชามข้าวหุงร้อนๆซึ่งข้าวก็เป็นข้าวที่ชาวบ้านปลูกเอง
มือหนึ่งถือตะเกียบ คีบมะระผัดไข่ ฟักทองต้ม ผัดกะเพรา กินกันอย่างเอร็ดอร่อย และที่ขาดไม่ได้
ต้องกินเป็นการตบท้าย...กาแฟ!
ก่อนนอน
รองเส็งกับพี่สุดเขตพาเราไปเดินชมหมู่บ้านตอนกลางคืน
ดูการปลูกบ้านแบบโบราณของชาวเมี่ยน พาไปบ้านที่เก็บสะสมของใช้โบราณ
พาไปรู้จักคนน่ารักแห่งสันเจริญ ระหว่างทางเราแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
บนดอยสูงเช่นนี้ดาวสวยเหลือเกิน ระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยน้อยเล่นไฟ
และอยู่ใกล้ราวจะเอื้อมมือไปคว้าได้ เด็กๆชาวสันเจริญและเด็กๆแห่งดงดอยคงได้มองดาวและหลับฝันดีทุกคืน --- ก่อนกลับเราแวะไปบ้านพี่เปา
ชาวเมี่ยนเจ้าของสวนกาแฟอีกคนหนึ่ง
พี่เปายกเก้าอี้หวายตัวเล็กออกมาเท่าจำนวนแขกที่มาเยือน พร้อมบอกว่า ตามสบายเลยนะ
เดี๋ยวพี่ชงกาแฟมาให้กิน เมื่อได้ยินคำว่ากาแฟในเวลาสี่ทุ่มกว่าอย่างนั้น
ใจฉันก็กระตุก หันไปสบตาพี่ๆจึงรู้ว่าไม่ได้เป็นคนเดียวแน่ๆ พี่เปายิ้มให้จากนั้นหันไปสั่งภรรยาสาวสวยให้นำกาแฟมารับรองแขก
สาวเจ้าเดินยิ้มกริ่มกลับเข้าไปหลังบ้าน สักพักเราก็ได้ยินเสียงเครื่องบดกาแฟทำงาน
ได้ยินอย่างนั้น หัวใจเราก็สั่นไปด้วย!
น่าแปลก
กาแฟสามถึงสี่แก้วที่รินรดเข้าไปในร่างกายไม่ได้ทำให้เราตื่นตาค้างอย่างคาดการณ์ เมื่อหัวถึงหมอน เราต่างหลับใหลไม่ได้สติ
และช่างเป็นโชคดีที่เราหลับกันเสียเต็มอิ่ม
เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องใช้พลังทั้งหมดที่เราสะสมไว้
เพื่อบุกป่าตั้งแต่เวลาตีห้าถึงบ่ายโมง โดยที่ไม่ได้พัก และไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่อย่างเดียว!
จุดชมวิวสวนยาหลวงคือเป้าหมายของเราในวันนี้ เราตื่นตั้งแต่ตีห้า
รถกระบะที่รองเส็งพาเราไปนั่งข้างหน้าได้แค่สี่คน จึงมีรองเส็ง พี่สุดเขต
และให้พี่แนนพี่ปณัสย์ไปเป็นตัวแทนกลุ่มของเราเพื่อพูดคุยเก็บข้อมูลเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในหมู่บ้าน
เราอีกห้าคนที่เหลือต้องนั่งกระบะเข้าไป --- รถกระบะฝ่าความมืดขึ้นสู่ยอดดอย สองข้างทางมืดมิด
มีเพียงแสงไฟจากรถและแสงดาวที่ยังระยิบพราวอยู่บนท้องฟ้า ---
ทางขึ้นสู่จุดชมวิวสวนยาหลวงนั้นสาหัสยิ่งกว่าทางขึ้นหมู่บ้านสันเจริญหลายเท่า
ตลอดทางตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสว่างเราทั้งโดนหนามเกี่ยว โดนต้นไม้ตีหน้า ลมหนาวชำแรกผิวกาย
ถูกกระแทกกระทั้นสารพัดสารพัน ประกอบกับเมื่อคืนก่อนฝนตกหนัก
ทางลูกรังที่วิ่งยากอยู่แล้วจึงแย่ขึ้นไปอีก
พี่สุดเขตต้องลงไปขุดดินเป็นระยะเพื่อให้รถไปต่อได้
แต่ความยากลำบากก็ดูจะจางคลายลงไปได้ด้วยบทสนทนาและเสียงหัวเราะของพวกเรา
ในที่สุดเราก็ขึ้นไม่ถึงยอดดอย รองเส็งตัดสินใจหยุดให้เราชมวิวที่จุดชมวิวก่อนถึงยอดดอย
เมื่อเราซึมซับบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นจนอิ่มหนำ รองเส็งบอกว่าจะพาไปยังจุดต่อไปคือ
น้ำตกภูสัน การเดินทางสู่น้ำตกภูสันในวันนั้น
เป็นการเดินทางที่จะอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป
ทางขึ้นจุดชมวิวนั้นว่าสาหัสแล้ว
ทางขึ้นน้ำตกภูสันสาหัสกว่าหลายเท่า ป่ารอบข้างยังคงขีดข่วนตบตี
ฝากรอยจารึกไว้ให้ผิวกายเรา อากาศเหน็บหนาวแต่แดดเริ่มร้อน
รองเส็งบอกกล่าวก่อนถึงว่า “วันนี้ทางไม่ดีนะครับ รถเข้าไม่ถึง
คงต้องเดินเข้าไปน้ำตกสักห้าร้อยเมตร” --- ห้าร้อยเมตรเท่านั้น
เรานึกปรามาสอยู่ในใจ แต่ทันทีที่รถจอดอยู่หน้าดินลูกรังที่เปียกลื่นเหมือนหนังหมู
ฉันก็รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด
มองย้อนกลับไป ดินลูกรังหนังหมูช่วงแรกที่ทำให้ใจหวั่นนั้นกลับกลายเป็นส่วนที่เดินง่ายที่สุด
--- หลังผ่านหนังหมูไป
เราต้องเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าลึก ผ่านต้นไม้ใหญ่ หญ้าสูง ตอไม้
เถาวัลย์และกิ่งไม้ หนามแหลม ทุกอย่างเป็นอุปสรรคที่ทำให้ก้าวไปข้างหน้าได้ช้า
สักพักเสื้อเกี่ยวกับกิ่งไม้ สักพักขากางเกงติดเถาวัลย์ เดินต่อไปไม่ไกลเท้าเหยียบตอไม้
เราใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะฝ่าป่าใหญ่เข้าไปได้ แล้วจู่ๆโดยไม่ได้ตั้งตัว
ทางพื้นราบก็กลายเป็นหุบเหว สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือทางลาดชันประมาณสี่สิบห้าองศา
สองข้างไม่มีอะไรให้ยึดเกาะได้ ต้องใช้สองแขนและสองขาไต่ลงไป --- เราค่อยๆเดินลงไปอย่างยากลำบาก นอกจากชัน ทางยังแสนลื่น เต็มไปด้วยตะปุ่มตะป่ำ
กิ่งไม้ที่เหมือนจะยึดเกาะได้เมื่อฉวยไว้กลับกลายเป็นไม้ผุ
หลุดติดมือออกมาและพาให้เราลื่นล้ม --- เราหลายคนใส่รองเท้าแตะเข้าไปทำให้การเดินยากขึ้นหลายเท่า
สุดท้าย ฉันทิ้งรองเท้าแตะไว้ระหว่างทาง ใช้สองเท้ายึดเกาะหน้าดินที่ลื่นไว้
ค่อยๆเดินลงไปอย่างทุลักทุเล
แต่ยังโชคดีที่รองเส็งและพี่สุดเขตคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดการเดินทาง รองเส็งนั้นเอาใจใส่ดูแลพี่แนน
พี่คนหนึ่งในกลุ่มเรา คนเดียวไปโดยเฉพาะ เพราะถูกใจเป็นพิเศษ
(ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังแซวเรื่องนี้กันเป็นที่สนุกปาก)
ฉันจึงได้พี่สุดเขต คอยช่วยเหลือทุกอย่าง ตั้งแต่ช่วยฉุดไว้ไม่ให้ล้ม
ยื่นมือมาให้จับช่วงที่สูงชันมากเป็นพิเศษ ถือกล้องให้ตอนต้องใช้มือปีน
หาไม้มาให้จับยึด ฯลฯ ความประทับใจหนึ่งที่มีต่อการเดินน้ำตกภูสัน
จึงเป็นความงดงามของน้ำใจของพี่สุดเขต ถ้าไม่มีเขา
ฉันเชื่อว่าตัวเองคงลื่นล้มหรือตกหล่มไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
ในที่สุด หลังจากเดินทางราวสองสามชั่วโมง
เราก็มาถึงน้ำตกภูสัน ชั้นที่ 11 จนได้!
อันที่จริงน้ำตกนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเลย
แต่ที่ทำให้มันสวยงามเหลือเกินในความรู้สึก
ก็ด้วยความรู้สึกที่ว่าหลังจากผ่านความยากลำบากอันแสนสาหัส เราก็มาถึงเป้าหมายจนได้
--- ความรู้สึกตอนนั้นเราเหมือนผู้ชนะ
และการเอาชนะความท้อแท้เหนื่อยล้าในใจของตัวเองได้ก็เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ลงจากดอย เรากลับมาบ้านผู้ใหญ่บ้าน
กับข้าวมื้อแรกของวันตอนบ่ายโมงไม่ต่างจากมื้อเมื่อคืนวาน
แต่มันช่างอร่อยเหลือเกินสำหรับเรา เราเติมข้าวชามแล้วชามเล่า
กินกับทุกอย่างจนหมดเกลี้ยงด้วยความหิวโหย ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าวมื้อนั้นเป็นข้าวที่อร่อยมากที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิต
--- เราโบกมือลาบ้านสันเจริญในตอนบ่ายของวันนั้น
จากมาแบบหมดสภาพ ตัวเลอะดินโคลน กางเกงขาด ไม่ได้อาบน้ำ --- ทัศนียภาพของไร่กาแฟอาราบิก้าสุดลูกหูลูกตาบนดอยสูงเริ่มลับหายไปจากตา
แต่ภาพหนทางขรุขระ ป่าเขา น้ำตกภูสัน
และรสขมๆหวานๆของกาแฟที่บ้านสันเจริญจะประทับอยู่ในใจตลอดไป
ทุ่งช้าง-บ่อเกลือ-เฉลิมพระเกียรติ :
เส้นทางสายช็อปปิ้ง
เส้นทางสายช็อปปิ้ง
จากบ้านสันเจริญ เราลัดไปเก็บข้อมูลยังอีกหลายที่
เรากลับไปพักที่ปัว ศูนย์กลางของเมืองน่านเขตเหนือของเราในครั้งนี้ ช่วงที่เราไป
นาข้าวกำลังเหลืองอร่าม หันไปทางไหนก็เจอแต่ทุ่งรวงทองไกลลิบสุดลูกหูลูกตา นี่เองเป็นเสน่ห์ของปัวที่ทำให้ใครๆต่างก็หลงใหลและเดินทางมาเยี่ยมเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า
--- เราพักอยู่ที่ปัวหลายวัน
ไปวัด ไปตลาด ไปชิมร้านอร่อยในเมือง ทุกอย่างน่ารักและเป็นธรรมชาติจนฉันตั้งปณิธานว่าหากมีโอกาสได้กลับมาเยือนน่านอีกครั้ง
ปัวจะเป็นจุดหมายแรกในการกลับมา
จากปัว เราเดินทางต่อไปยังน่านเขตเหนือ ทุ่งช้าง - บ่อเกลือ - เฉลิมพระเกียรติ --- ก่อนขึ้นบ่อเกลือ
เราแวะอุทยานแห่งชาติดอยภูคา อุทยานแห่งชาติที่สูง 1,980 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ว่ากันว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว แต่ที่นี่ไม่ได้แค่หนาว แต่ยังสวยสุดใจ --- ทิวเขาที่เรียงตัวกันเป็นแนวยาวสุดสายตา ฟ้าสีฟ้า
เมฆที่ระบัดระบายฟ้าไม่ให้โล่งเกินไป ทุกอย่างทำให้การเดินทางครั้งนี้แสนคุ้มค่า
เราพร้อมใจกันเปิดกระจกรถตู้ ลมหนาวพัดมาปะทะผิวกาย เป็นหนาวที่ทำให้ใจอุ่นเหลือเกิน
--- ก่อนถึงที่ทำการอุทยาน เราแวะน้ำตกต้นตอง
น้ำตกที่ต้องเดินลัดเลาะทุ่งข้าวโพดและเขาลูกใหญ่หนึ่งลูกลงไปกว่าจะถึง
เหนื่อยหนักแสนสาหัส แต่ก็ทำให้อาหารมื้อกลางวันที่ที่ทำการอุทยานอร่อยขึ้นอีกหลายเท่า
มื้อนั้นเราได้กินหนอนรถด่วนทอดสดๆ กระบอกละ 40 บาท
บริการให้อย่างเต็มใจโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน เป็นหนอนไม้ไผ่ที่มัน กรอบ อร่อยที่สุดในชีวิต!
![]() |
บนดอยภูคา ทิวทัศน์ก่อนเดินลงน้ำตกต้นตอง |
จากนั้นเราจึงเริ่มการเดินทางสู่น่านเขตเหนือ --- ว่ากันว่าเส้นทางสายเหนือนี้มีดีที่ความสวยงามของธรรมชาติ
แต่สำหรับเรา
เส้นทางสายนี้คือเส้นทางแห่งการช็อปปิ้งอย่างแท้จริง
ที่บ่อเกลือไม่ได้มีแค่บ่อเกลือโบราณและโรงต้มเกลือ
แต่สำหรับเรายังมีร้านภูเกลือ ร้านขายของฝากแห่งเดียวในบ่อเกลือ --- เช้าวันแรกที่บ่อเกลือ
เรารุมของฝากในร้านกันอย่างบ้าคลั่ง สมุนไพรดูดกลิ่นลายนกฮูกในกระจาดถูกพวกเราแย่งกันซื้อไปคนละตัวสองตัว
ในราคาตัวละ 59 บาท จนไม่เหลือไว้ขายแม้แต่ตัวเดียว --- จนถึงวันนี้พวกเราก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องแย่งกันซื้อนกฮูกดูดกลิ่นพวกนั้น
ที่ทุ่งช้างก็ไม่ได้มีแต่ส้มสีทองของดีของน่าน
แต่ในความทรงจำของพวกเรา ที่ทุ่งช้างมีหมู่บ้านทุ่งสุน
บ้านซึ่งทอผ้าได้สวยงามถูกใจเรามาก --- เราเข้าไปในศูนย์อย่างคนหน้ามืดตายลาย
คนโน้นจะเอากระเป๋าใบนี้ คนนี้จะเอาผ้าม่านลายนั้น --- ส่วนภาพที่เราเทถุงรองเท้าใส่ในบ้านแล้วแย่งกันรื้อแย่งกันเลือกลายที่ชอบยังเป็นภาพที่นึกถึงเมื่อใดก็มีรอยยิ้ม
![]() |
โรงต้มเกลือของชาวบ้าน ที่อำเภอบ่อเกลือ |
ส่วนที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเหนือสุด กันดารที่สุดทั้งในแง่เส้นทางและความเป็นอยู่ ก็มีตลาดชายแดนห้วยโก๋น
ตลาดของทางสปป.ลาวที่เปิดให้คนลาวเอาของดีของฝั่งเขาเข้ามาขายในบ้านเราได้ --- ตลาดเปิด 8
โมงเช้า เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ของในตลาดก็หายวับไปกับตา เราเองก็ได้เข้าไปยื้อแย่งของกับชาวบ้านเป็นที่สนุกสนานมาด้วย
จากเฉลิมพระเกียรติ
เรายังมุ่งหน้าไปต่อที่ภูพยัคฆ์ เทือกเขาที่เราจะจดจำความโหดของเส้นทางไปตลอดชีวิต
พี่แนน ผู้เป็นเนวิเกเตอร์ประจำกลุ่ม
ดูแลเรื่องเส้นทาง ขนานนามให้ทางเส้นนี้ว่าทาง ก. ไก่ เพราะเส้นทางขรุขระและคดโค้งเหมือนรูปตัว
ก. เราต่างลงความเห็นกันว่าทางเส้นนี้ไม่ได้มีไก่แค่ตัวเดียว
แต่มาด้วยกันทั้งเล้า --- เส้นทางโหดขนาดไหน
เมื่อขึ้นถึงเราก็ยังไปช็อปปิ้งผลผลิตจากลูกหม่อนกันมาได้
ทั้งๆที่ระหว่างเก็บข้อมูล เราก็ได้เด็ดกินลูกหม่อนสดๆจากต้นกันไปแล้ว --- ลงจากภูพยัคฆ์
เราไปศูนย์ภูฟ้าพัฒนาและศูนย์การเรียนรู้ชนเผ่ามลาบรีหรือที่คนไทยเรียกติดปากกันว่าผีตองเหลือง
ที่นี่เราก็ยังอุตส่าห์ได้ผลิตภัณฑ์ติดไม้ติดมือกันมาคนละชิ้นสองชิ้นอย่างไม่สงสารรถตู้ปลาช่อนของเราที่ต้องแบกรับน้ำหนักของฝากอันมหาศาล
--- การเดินทางครั้งนี้จึงถือเป็นการช็อปปิ้งปิดทริปเมืองน่านเขตเหนือด้วยความอิ่มเอมใจ
แม้สตางค์ในกระเป๋าจะหดหายกันไปหมดแล้ว
![]() |
หม่อน หรือ Mulberry ไม้มีชื่อของภูพยัคฆ์ |
ขากลับเราใช้ทางหลวงหมายเลข 1080 เฉลิมพระเกียรติ-บ่อเกลือ แทนที่จะกลับลงมาทางทุ่งช้างเหมือนขามา เราต่างร่วมใจกันเรียกเส้นทางสายนี้ว่า
“สวยโหด” เพราะทางนั้นคดเคี้ยวและยากลำบาก แต่ทิวทัศน์สองข้างทาง ทั้งทุ่งนา
ทุ่งดอกไมยราบ นาขั้นบันได ทุ่งดอกผักกาดสีเหลืองสด ทิวดอกบัวตองนั้นสวยเกินจะพรรณนาได้
--- เรากลับมาถึงบ่อเกลือตอนบ่ายด้วยความหิวโหย
เดินทางไกลในวันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า เราจึงสั่งส้มตำร้านหัวสะพานที่บ่อเกลือกินกันอย่างบ้าคลั่ง
สิ่งที่ทำให้ประทับใจในวันนั้น นอกจากลมหนาววูบใหญ่ที่พัดมายามเราก้าวลงจากรถ หนาวเย็นกว่าลมหนาววูบใดๆตั้งแต่เรามาเยือนน่านแล้ว
ยังมีส้มตำปูปลาร้าสุดอร่อยที่สั่งกินกันไม่อั้นอีกด้วย
เราปิดทริปทางเหนือด้วยการกลับไปเดินถนนคนเดินที่ตัวอำเภอเมืองน่าน
ยิ่งเดินทางออกห่างจากทางเหนือ ความเป็นเมืองยิ่งเริ่มเข้ามาแทนที่บรรยากาศป่าเขา ใจเราเริ่มห่อเหี่ยว
แต่ที่ทำให้ใจเหี่ยวที่สุดของการเดินทางในวันนั้น คือการเห็นนกฮูกเหมือนที่บ่อเกลือ
ขายที่ถนนคนเดินในราคาแค่ 35 บาท!
สวัสดีน่านเขตใต้ :
เวียงสา นาน้อย นาหมื่น
เวียงสา นาน้อย นาหมื่น
เรามาตั้งต้นกันใหม่ที่อำเภอเมือง
จากนั้นจึงล่องใต้ลงไปยังอำเภอเวียงสา อำเภอเล็กๆที่แสนมีเสน่ห์
ผู้คนเดินทางโดยจักรยานกันเป็นส่วนใหญ่ ได้มาเห็นด้วยตาตนเองจึงเชื่อแล้วที่ใครๆขนานนามให้ว่า
‘เวียงสา เมืองน่ารัก’
--- เรามีเวลาอยู่เวียงสาแค่ครึ่งค่อนวัน
หลังจากขี่จักรยานชมเมืองจนอิ่มหนำ
เราตีรถลงใต้ ลงไปอำเภอนาน้อย อุทยานแห่งชาติศรีน่าน... ไปนอนดอยเสมอดาว
ดอยเสมอดาวคืนนั้น ดาวไม่สวยเอาเสียเลย
เมฆปกคลุมท้องฟ้าเสียจนดวงดาวพากันหายหน้าไปหมด
แต่ก็เป็นอีกหนึ่งคืนที่น่าประทับใจ --- ตกดึกหลังอาบน้ำเรียบร้อย
เราสี่คน พี่แนน พี่พงศ์ พี่ปณัสย์ และฉัน พากันเดินคลำทางขึ้นไปยังจุดชมวิว
คุยกันเรื่องการเดินทาง สถานที่ที่ประทับใจ หมายที่ชอบ/ไม่ชอบ
และมาลงท้ายด้วยการคุยกันเรื่องหนังผี ลัดดาแลนด์ ชัตเตอร์ สี่แพร่ง ห้าแพร่ง ทุกเรื่องถูกงัดขึ้นมาพูดถึง
จนค่ำคืนนั้นกลายเป็นค่ำคืนที่ทั้งหลอนและน่าจดจำ
สักพักเรากลับมายังลานกางเต็นท์ ที่ดอยเสมอดาวคืนนี้มีเพียงเราและเต็นท์อื่นๆอีกสามถึงสี่หลัง
เงียบสงบและไม่เหงาจนเกินไป --- ด้วยอยากดูดาวมาก
ฉันกับพี่แนนจึงลากเครื่องนอนออกมาหน้าเต็นท์และนอนแผ่ดูดาวบนท้องฟ้า
เรื่องตลกในวันถัดมาก็คือพี่พงศ์บอกว่าเราทั้งสองดูดาวจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่มีใครรู้
และคงเป็นเพราะง่วงมาก เมื่อพี่พงศ์มาเรียกให้เข้าไปนอนดีๆในเต็นท์เท่าไหร่ก็ไม่มีใครตื่น
![]() |
แสงแรกของวันและทิวทะเลหมอก ที่ดอยเสมอดาว |
เช้าวันถัดมาเราตื่นมาดูทะเลหมอกแต่เช้า ถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนาน หลังจากนั้นคือภารกิจการเดินขึ้นผาหัวสิงห์และผาชู้
--- เริ่มด้วยผาหัวสิงห์
เขาหินปูนสูงชันที่ต้องปีนขึ้นประมาณ 500 เมตร ทุกคนปีนกันขึ้นไป ฉันรั้งท้าย สักพักเดินๆไปหัวก็กระแทกเข้ากับหินปูนเบื้องบน
ฉันถอดใจ ก้าวแต่ละก้าวยากเย็น จึงถอยทัพกลับลงมารอเบื้องล่าง --- การปีนเขาหินปูนในวันนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า อันที่จริงหากใจกล้า
ฉันก็คงจะปีนขึ้นไปได้เช่นใครเขา แต่เมื่อทุกอย่างจบลงตั้งแต่ที่ใจเรา
ขาที่กำลังจะก้าวจึงเป็นอันหยุดชะงัก
เรายังเดินทางไปต่ออีกหลายที่ เสาดินนาน้อย คอกเสือ และแก่งหลวง --- เสาดินนาน้อยเหมือนทะเลทรายซาฮาร่า
แผดเผาเราทั้งผองให้มอดไหม้ --- แก่งหลวงน้ำเชี่ยว
เหมาะสำหรับคนใจกล้า --- จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติขุนสถาน
นอนเต็นท์ กลางคืนลุกออกมาดูดาว ตอนเช้ารอพบแสงแรกของดวงอาทิตย์ --- แสงแรกของวันในวันนั้นสวยงามเหลือเกิน
เราใช้ตาและใจซึมซับภาพตรงหน้าสลับกับรัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง
เราต่างลงความเห็นว่าเราปิดฉากคืนสุดท้ายและวันสุดท้ายในน่านได้คุ้มค่าที่สุดแล้ว
ตอนบ่ายจึงมุ่งหน้าไปปากนาย หมู่บ้านชาวประมงที่อพยพมาจากอุตรดิตถ์
พิษณุโลกหลังจากวิกฤตเขื่อนสิริกิติ์ --- ปากนายร้างไร้ผู้คน
แต่สงบ สวยงาม --- เราล่องแพขนานยนต์กลับไปทางอุตรดิตถ์ ก่อนพี่กอล์ฟคนขับรถ
ในฉายาพยัคฆ์ติดปีก จะพาเราทะยานกลับสู่กรุงเทพฯในตอนบ่ายวันถัดไปนั้นเอง
'บ้าน'
มีคนบอกว่า เมื่อเราได้เดินทางไกล เมื่อกลับมายัง 'บ้าน' ของเรา ภาพที่เรามองบ้านจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
วินาทีแรกที่รถตู้ของเราเคลื่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ แวบแรกความรู้สึกคือความโหยหาทุ่งนาป่าเขา แต่อีกแวบหนึ่งกลับมองเห็นความสวยงามในตึกราม
ในท้องฟ้าสีเทา นึกถึงห้างที่ชอบเดิน
รถไฟฟ้าสถานีที่คุ้นเคย รถเมล์ที่โหนจนเคยชิน คิดถึงโรงหนังที่ชอบไปดู แล้วจู่ๆความปลาบปลื้มก็เข้ามาจู่โจม --- สำหรับฉัน,
กรุงเทพฯไม่ใช่บ้านเกิด แต่มันก็คือบ้าน คือสถานที่ที่หล่อหลอมให้ฉันเป็นฉัน
อุ้มชูฟูมฟักให้เติบโตจนวันนี้ --- ขณะรถตู้ค่อยๆเคลื่อนตัวบนทางด่วน
ฉับพลันนั้นเองที่ฉันคิดได้ว่า ความลับอย่างหนึ่งของการเดินทางก็คือ การทำให้เราได้ตระหนักรู้อยู่เสมอถึงความเป็นจริงของชีวิต
--- การเดินทางให้ความสุข ความอิ่มใจ ให้สิ่งที่บ้านให้ไม่ได้
แต่สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาบ้าน มาทำหน้าที่ มามีชีวิต
23
ตั้งแต่เกิดมา 23 ปี, ฉันเต็มใจจะเชื่อว่าปีนี้เป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต
แต่เมื่อจะสิ้นปีอย่างนี้ เมื่อผ่านประสบการณ์หลายอย่างมาระยะหนึ่ง ฉันกลับพบว่าความเลวร้ายอย่างสาหัสของมัน
ทำให้มันเป็นปีที่มีเรื่องให้จดจำมากที่สุดด้วย --- แน่นอน, ไม่อาจปฏิเสธได้,
หลายเรื่องไม่ควรจดจำ โดยเฉพาะความพลาดพลั้งที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำลืมเลือนไปเสียได้
แต่อีกหลายต่อหลายเรื่องในปีนี้ ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ในห้วงทรงจำ
--- การต้องจากบ้านไปอยู่น่านเป็นเวลานานถึงครึ่งเดือนทำให้ฉันฉุกคิดอะไรได้มาก
ฉันเรียนรู้ที่จะปรับตัวปรับใจในหลายสถานการณ์ รู้จักความป่วยไข้ รู้ซึ้งถึงความเปราะบางของชีวิต ตระหนักรู้ว่าจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ร่างกายเราก็สำคัญไม่แพ้ ต้องดูแลให้ดียิ่ง
ส่วนเรื่องเลวร้าย ยิ่งมันเลวร้าย
มันก็ยิ่งทำให้เราแข็งแกร่ง และหัวใจก็ยังคงเป็นอวัยวะที่เต้นอยู่ที่อกข้างซ้ายเหมือนเดิม
ไม่ว่ามันจะบอบช้ำมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
Patha V
น่านเป็นจังหวัดหนึ่งที่ฉันหมายตา ตั้งใจจะไปให้ได้เมื่อมีโอกาส
ReplyDeleteรู้สึกอิจฉาแกไม่หายเวลาแกได้ไปเที่ยว 55555
ฉันเคยเดินทางขึ้นดอยแบบดอยทุรกันดารจริงๆ อยู่ครั้งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไกลมาก ไม่มีไฟฟ้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เลย
ถนนน่ากลัวมาก แคบ รถวิ่งได้คันเดียว นั่งอยู่บนรถ มองผ่านหน้าตาไปเห็นข้างตัวเป็นเหว โอย ฉันว่าประสบการณ์การขึ้นดอย ขอครั้งเดียวพอแค่นั้นนะ แม่งเสี่ยงชีวิตเกินไปว่ะ
ฉันเริ่มมีความคิดว่า จะเดินเที่ยวตามรอยพี่หวายแล้วนะ...เริ่มจากน่านเลยเป็นไร อิอิ
ป.ล.ภาพสวยทุกภาพเลยแก โดยเฉพาะภาพท้องฟ้า
ป.ล.2 รู้สึกดีใจที่ได้อ่านบันทึกเจาะลึกแบบที่แตกต่างออกไปจากต้นฉบับในนายรอบรู้
โญ
ซู้ดยอดดด...
ReplyDelete