Wednesday, January 2, 2013

น่าน : 23



เมื่อสายลมแห่งฤดูหนาวแรกของปีพัดผ่านมา ฉันพบว่าตัวเองกำลังย่ำอยู่บนผืนดินของจังหวัดน่าน


แสงสีทองยามพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า, พฤศจิกา 2555, น่าน




7ประตู  1หนอง  12วัด

‘7 ประตู  1 หนอง  12 วัด ใครๆต่างขนานนามให้ตัวเมืองน่านเช่นนี้ ด้วยลักษณะเมืองน่านแต่อดีตที่มีการวางผังเมืองมาอย่างดี มีประตูเข้าออกสำหรับกิจต่างๆแตกต่างกันออกไปถึง 7 ประตู มี 1 หนองน้ำใหญ่อยู่กลางเมืองเปรียบเสมือนใจเมือง และมีวัดสำคัญอยู่ถึง 12 วัด --- ตามการจัดลำดับ เมืองน่านอาจไม่ใช่เมืองที่มีวัดมากที่สุดในประเทศ แต่เมืองเล็กๆแห่งนี้ก็เป็นเมืองที่มีวัดตั้งอยู่หนาแน่นมากที่สุดเมืองหนึ่งเมื่อเทียบกับพื้นที่และอัตราประชากร

เราเริ่มต้นทำความรู้จักน่านด้วยการรู้จักตัวเมือง ศูนย์กลางอารยธรรมและที่ที่เราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์และพัฒนาการเมืองน่านได้อย่างดีที่สุดก่อน  ปราชญ์มัคคุเทศก์ผู้นำชมเราเดินชื่อพี่ดอย เป็นนักศึกษาปริญญาโทด้านการจัดการวัฒนธรรมโดยเฉพาะ พี่ดอยพาเราชมวัดต่างๆเรียกได้ว่าเกือบครบทั้ง 12 วัดตามคติ 7 ประตู 1 หนอง 12 วัด  ทั้งวัดหัวข่วง วัดที่สะท้อนศิลปะสกุลช่างน่าน วัดพระธาตุช้างค้ำซึ่งเป็นวัดหลวง วัดพญาภูที่มีพระพุทธรูปปางลีลาที่งดงามจับตา วัดมิ่งเมือง สถานที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองน่าน รวมทั้งวัดภูมินทร์ สุดยอดวัดที่เป็นหมุดหมายการเดินทางของผู้มาเยือน

พี่ดอยมีความรู้ และพูดเก่ง เราจึงได้รับความรู้แบบอัดแน่นชนิดอ่านตำราหลายเล่มก็อาจจะยังไม่ได้ความรู้มากเท่านี้ --- เราปิดท้ายการเดินทางของวันที่วัดภูมินทร์ หลังจากชมจิตรกรรมฝาผนังกันจนอิ่มตาแล้ว เราออกไปนั่งอยู่ที่ลานหน้าวัดเพื่อรอถ่ายแสงกลางคืน สภาพทุกคนในตอนนั้นเหนื่อยอ่อน แต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอถ่ายภาพที่สวยงามที่สุด และเมื่อท่านเจ้าอาวาสเปิดไฟในวิหารจัตุรมุขให้ เราต่างก็เล็งถ่ายวัดในมุมมองของตัวเอง บางคนนั่ง บางคนหมอบ บางคนนอน ท่าถ่ายภาพของแต่ละคนหน้าลานวัดในวันนั้นยังเป็นภาพที่ตรึงใจฉันมาจนวันนี้


วัดพระธาตุเขาน้อย 

วัดภูมินทร์ยามค่ำคืน



ความทรงจำขมหวานที่บ้านสันเจริญ

“ตื่นก็กินกาแฟ เที่ยงก็กินกาแฟ” ใครสักคน หรือบางทีอาจจะหลายคน ร้องเพลงนี้ขึ้นมาขณะยกแก้วที่ภายในบรรจุของเหลวรสชาติขมอมหวานขึ้นซดเป็นแก้วที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ของวัน

ไม่ต้องแปลกใจ เมื่ออยู่ที่นี่เราได้กินกาแฟแทนน้ำชา หรือบางทีอาจจะแทนน้ำเปล่า --- ที่ที่เรายืนซดกาแฟกันอยู่แห่งนี้มีชื่อว่า หมู่บ้านสันเจริญ

เราเดินทางจากอำเภอท่าวังผาขึ้นไปที่หมู่บ้านสันเจริญ หมู่บ้านของชาวเขาเผ่าเมี่ยน ในอำเภอท่าวังผา ในตอนบ่ายของวันที่ความป่วยไข้มาเยือนฉันชนิดไม่ให้ตั้งตัว --- ทางเดินเข้าสู่หมู่บ้านยากลำบาก ชันและคดเคี้ยว  รถตู้ของเราที่เราเต็มใจขนานนามให้มันว่า ปลาช่อนแทบสะบักสะบอมเมื่อขึ้นไปถึงที่ทำการแปรรูปกาแฟสวนยาหลวง ซึ่งเป็นทั้งที่ทำการหมู่บ้านและศูนย์แปรรูปกาแฟ

คนที่ออกมารับรองเราเมื่อแรกพบคือรองเส็ง เป็นหัวหน้าชุมชนที่ดูแลหมู่บ้านและกิจการกาแฟโดยเฉพาะ ตอนที่ขึ้นไปนั้นเป็นเวลาเกือบ 4 โมงเย็น สภาพแต่ละคนเหนื่อยอ่อนกับการเดินทางที่ยากลำบากและยาวไกล แต่รองเส็งก็ยังต้อนรับเราด้วย... กาแฟ

หลังคุยรายละเอียดกันเรียบร้อย รองเส็งพาเราไปชม “น้ำออกรู” ถ้ำหินที่มีรูโหว่ขนาดใหญ่และมีน้ำไหลออกมาจากรูตลอดเวลา ว่ากันว่าถ้าผู้ชายเพ่งมองนานๆจะเห็นตรงรูโหว่เป็นรูปผู้หญิง ขณะที่ผู้หญิงมองก็จะเห็นเป็นผู้ชาย เราพากันเพ่งมองอยู่นานแต่ก็ยังมองไม่เห็นเป็นรูปร่างดังว่า --- จากนั้นก็พาไปดูลานกางเต้นท์บริเวณวัดพุทธานุภาพ พาไปชมบรรยากาศของหมู่บ้านยามเย็น ที่มีชาวเมี่ยนออกมาเดินเล่นในชุดประจำเผ่าสุดคลาสสิก

อากาศตอนเย็นของกลางเดือนพฤศจิกายน บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่าพันเมตร ก็พอจะทำให้กายหนาวได้บ้าง  ลมหนาวพัดมาสัมผัสกายแผ่วๆ ใครบางคนในกลุ่มเราเริ่มถามหาเสื้อกันหนาว ใครอีกบางคนน้ำเสียงตื่นเต้นที่จะได้ใช้เสื้อกันหนาวเป็นครั้งแรกของปี  --- ความยากลำบากในการขึ้นมา โค้งในดงดอยที่สาหัส รวมทั้งความหนาวน่าจะทำให้ฉันอาการทรุดหนัก แต่น่าแปลก เพียงได้สบตากับดอยสูง ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ผิวกายได้สัมผัสลมหนาว ความป่วยไข้ที่ไม่ได้รับเชิญในช่วงเช้าก็มลายไปหมดสิ้น!


ทิวทัศน์เมืองน่าน เมื่อมองจากหมู่บ้านสันเจริญ

เย็นวันนั้นเราเข้าไปพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้าน มีพี่สุดเขต ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านมาต้อนรับ คืนนี้เราจะนอนกันที่นี่  พูดคุยทำความเข้าใจเรื่องหมู่บ้าน ถามไถ่เรื่องการปลูกกาแฟอาราบิก้าอันเป็นอาชีพหลักของชาวสันเจริญจนได้ข้อมูลเต็มแน่น พี่สุดเขตก็จัดอาหารเย็นมารับรองชาวคณะ เย็นนั้นเรานั่งล้อมวงกันรอบขันโตกขนาดใหญ่ มีเก้าอี้หวายตัวเล็กๆเป็นเก้าอี้ประจำกาย มือหนึ่งถือชามข้าวหุงร้อนๆซึ่งข้าวก็เป็นข้าวที่ชาวบ้านปลูกเอง มือหนึ่งถือตะเกียบ คีบมะระผัดไข่ ฟักทองต้ม ผัดกะเพรา กินกันอย่างเอร็ดอร่อย และที่ขาดไม่ได้ ต้องกินเป็นการตบท้าย...กาแฟ!

ก่อนนอน รองเส็งกับพี่สุดเขตพาเราไปเดินชมหมู่บ้านตอนกลางคืน ดูการปลูกบ้านแบบโบราณของชาวเมี่ยน พาไปบ้านที่เก็บสะสมของใช้โบราณ พาไปรู้จักคนน่ารักแห่งสันเจริญ  ระหว่างทางเราแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า บนดอยสูงเช่นนี้ดาวสวยเหลือเกิน ระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยน้อยเล่นไฟ และอยู่ใกล้ราวจะเอื้อมมือไปคว้าได้ เด็กๆชาวสันเจริญและเด็กๆแห่งดงดอยคงได้มองดาวและหลับฝันดีทุกคืน  --- ก่อนกลับเราแวะไปบ้านพี่เปา ชาวเมี่ยนเจ้าของสวนกาแฟอีกคนหนึ่ง พี่เปายกเก้าอี้หวายตัวเล็กออกมาเท่าจำนวนแขกที่มาเยือน พร้อมบอกว่า ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวพี่ชงกาแฟมาให้กิน เมื่อได้ยินคำว่ากาแฟในเวลาสี่ทุ่มกว่าอย่างนั้น ใจฉันก็กระตุก หันไปสบตาพี่ๆจึงรู้ว่าไม่ได้เป็นคนเดียวแน่ๆ  พี่เปายิ้มให้จากนั้นหันไปสั่งภรรยาสาวสวยให้นำกาแฟมารับรองแขก สาวเจ้าเดินยิ้มกริ่มกลับเข้าไปหลังบ้าน สักพักเราก็ได้ยินเสียงเครื่องบดกาแฟทำงาน  ได้ยินอย่างนั้น หัวใจเราก็สั่นไปด้วย!

น่าแปลก กาแฟสามถึงสี่แก้วที่รินรดเข้าไปในร่างกายไม่ได้ทำให้เราตื่นตาค้างอย่างคาดการณ์  เมื่อหัวถึงหมอน เราต่างหลับใหลไม่ได้สติ และช่างเป็นโชคดีที่เราหลับกันเสียเต็มอิ่ม เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องใช้พลังทั้งหมดที่เราสะสมไว้ เพื่อบุกป่าตั้งแต่เวลาตีห้าถึงบ่ายโมง โดยที่ไม่ได้พัก และไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่อย่างเดียว!

จุดชมวิวสวนยาหลวงคือเป้าหมายของเราในวันนี้ เราตื่นตั้งแต่ตีห้า รถกระบะที่รองเส็งพาเราไปนั่งข้างหน้าได้แค่สี่คน จึงมีรองเส็ง พี่สุดเขต และให้พี่แนนพี่ปณัสย์ไปเป็นตัวแทนกลุ่มของเราเพื่อพูดคุยเก็บข้อมูลเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในหมู่บ้าน เราอีกห้าคนที่เหลือต้องนั่งกระบะเข้าไป --- รถกระบะฝ่าความมืดขึ้นสู่ยอดดอย  สองข้างทางมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากรถและแสงดาวที่ยังระยิบพราวอยู่บนท้องฟ้า --- ทางขึ้นสู่จุดชมวิวสวนยาหลวงนั้นสาหัสยิ่งกว่าทางขึ้นหมู่บ้านสันเจริญหลายเท่า ตลอดทางตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสว่างเราทั้งโดนหนามเกี่ยว โดนต้นไม้ตีหน้า ลมหนาวชำแรกผิวกาย ถูกกระแทกกระทั้นสารพัดสารพัน  ประกอบกับเมื่อคืนก่อนฝนตกหนัก ทางลูกรังที่วิ่งยากอยู่แล้วจึงแย่ขึ้นไปอีก พี่สุดเขตต้องลงไปขุดดินเป็นระยะเพื่อให้รถไปต่อได้ แต่ความยากลำบากก็ดูจะจางคลายลงไปได้ด้วยบทสนทนาและเสียงหัวเราะของพวกเรา

ในที่สุดเราก็ขึ้นไม่ถึงยอดดอย รองเส็งตัดสินใจหยุดให้เราชมวิวที่จุดชมวิวก่อนถึงยอดดอย เมื่อเราซึมซับบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นจนอิ่มหนำ รองเส็งบอกว่าจะพาไปยังจุดต่อไปคือ น้ำตกภูสัน การเดินทางสู่น้ำตกภูสันในวันนั้น เป็นการเดินทางที่จะอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป
ทางขึ้นจุดชมวิวนั้นว่าสาหัสแล้ว ทางขึ้นน้ำตกภูสันสาหัสกว่าหลายเท่า ป่ารอบข้างยังคงขีดข่วนตบตี ฝากรอยจารึกไว้ให้ผิวกายเรา อากาศเหน็บหนาวแต่แดดเริ่มร้อน รองเส็งบอกกล่าวก่อนถึงว่า “วันนี้ทางไม่ดีนะครับ รถเข้าไม่ถึง คงต้องเดินเข้าไปน้ำตกสักห้าร้อยเมตร” --- ห้าร้อยเมตรเท่านั้น เรานึกปรามาสอยู่ในใจ แต่ทันทีที่รถจอดอยู่หน้าดินลูกรังที่เปียกลื่นเหมือนหนังหมู ฉันก็รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด

มองย้อนกลับไป ดินลูกรังหนังหมูช่วงแรกที่ทำให้ใจหวั่นนั้นกลับกลายเป็นส่วนที่เดินง่ายที่สุด --- หลังผ่านหนังหมูไป เราต้องเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าลึก ผ่านต้นไม้ใหญ่ หญ้าสูง ตอไม้ เถาวัลย์และกิ่งไม้ หนามแหลม ทุกอย่างเป็นอุปสรรคที่ทำให้ก้าวไปข้างหน้าได้ช้า สักพักเสื้อเกี่ยวกับกิ่งไม้ สักพักขากางเกงติดเถาวัลย์ เดินต่อไปไม่ไกลเท้าเหยียบตอไม้ เราใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะฝ่าป่าใหญ่เข้าไปได้ แล้วจู่ๆโดยไม่ได้ตั้งตัว ทางพื้นราบก็กลายเป็นหุบเหว สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือทางลาดชันประมาณสี่สิบห้าองศา สองข้างไม่มีอะไรให้ยึดเกาะได้ ต้องใช้สองแขนและสองขาไต่ลงไป --- เราค่อยๆเดินลงไปอย่างยากลำบาก นอกจากชัน ทางยังแสนลื่น เต็มไปด้วยตะปุ่มตะป่ำ กิ่งไม้ที่เหมือนจะยึดเกาะได้เมื่อฉวยไว้กลับกลายเป็นไม้ผุ หลุดติดมือออกมาและพาให้เราลื่นล้ม --- เราหลายคนใส่รองเท้าแตะเข้าไปทำให้การเดินยากขึ้นหลายเท่า สุดท้าย ฉันทิ้งรองเท้าแตะไว้ระหว่างทาง ใช้สองเท้ายึดเกาะหน้าดินที่ลื่นไว้ ค่อยๆเดินลงไปอย่างทุลักทุเล แต่ยังโชคดีที่รองเส็งและพี่สุดเขตคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดการเดินทาง  รองเส็งนั้นเอาใจใส่ดูแลพี่แนน พี่คนหนึ่งในกลุ่มเรา คนเดียวไปโดยเฉพาะ เพราะถูกใจเป็นพิเศษ (ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังแซวเรื่องนี้กันเป็นที่สนุกปาก) ฉันจึงได้พี่สุดเขต คอยช่วยเหลือทุกอย่าง ตั้งแต่ช่วยฉุดไว้ไม่ให้ล้ม ยื่นมือมาให้จับช่วงที่สูงชันมากเป็นพิเศษ ถือกล้องให้ตอนต้องใช้มือปีน หาไม้มาให้จับยึด ฯลฯ ความประทับใจหนึ่งที่มีต่อการเดินน้ำตกภูสัน จึงเป็นความงดงามของน้ำใจของพี่สุดเขต ถ้าไม่มีเขา ฉันเชื่อว่าตัวเองคงลื่นล้มหรือตกหล่มไม่เหลือชิ้นดีแล้ว


ความยากลำบากของการปีนน้ำตก
ต้องเกาะต้นไม้เดิน(หรือดิ่งกันแน่?)ลงทางลาดชันตลอดเวลา

ในที่สุด หลังจากเดินทางราวสองสามชั่วโมง เราก็มาถึงน้ำตกภูสัน ชั้นที่ 11 จนได้อันที่จริงน้ำตกนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเลย แต่ที่ทำให้มันสวยงามเหลือเกินในความรู้สึก ก็ด้วยความรู้สึกที่ว่าหลังจากผ่านความยากลำบากอันแสนสาหัส เราก็มาถึงเป้าหมายจนได้ --- ความรู้สึกตอนนั้นเราเหมือนผู้ชนะ และการเอาชนะความท้อแท้เหนื่อยล้าในใจของตัวเองได้ก็เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ลงจากดอย เรากลับมาบ้านผู้ใหญ่บ้าน กับข้าวมื้อแรกของวันตอนบ่ายโมงไม่ต่างจากมื้อเมื่อคืนวาน แต่มันช่างอร่อยเหลือเกินสำหรับเรา เราเติมข้าวชามแล้วชามเล่า กินกับทุกอย่างจนหมดเกลี้ยงด้วยความหิวโหย ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าวมื้อนั้นเป็นข้าวที่อร่อยมากที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิต --- เราโบกมือลาบ้านสันเจริญในตอนบ่ายของวันนั้น จากมาแบบหมดสภาพ ตัวเลอะดินโคลน กางเกงขาด ไม่ได้อาบน้ำ --- ทัศนียภาพของไร่กาแฟอาราบิก้าสุดลูกหูลูกตาบนดอยสูงเริ่มลับหายไปจากตา แต่ภาพหนทางขรุขระ ป่าเขา น้ำตกภูสัน และรสขมๆหวานๆของกาแฟที่บ้านสันเจริญจะประทับอยู่ในใจตลอดไป

  
ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้... น้ำตกภูสัน



ทุ่งช้าง-บ่อเกลือ-เฉลิมพระเกียรติ :
เส้นทางสายช็อปปิ้ง

จากบ้านสันเจริญ เราลัดไปเก็บข้อมูลยังอีกหลายที่ เรากลับไปพักที่ปัว ศูนย์กลางของเมืองน่านเขตเหนือของเราในครั้งนี้ ช่วงที่เราไป นาข้าวกำลังเหลืองอร่าม หันไปทางไหนก็เจอแต่ทุ่งรวงทองไกลลิบสุดลูกหูลูกตา นี่เองเป็นเสน่ห์ของปัวที่ทำให้ใครๆต่างก็หลงใหลและเดินทางมาเยี่ยมเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า --- เราพักอยู่ที่ปัวหลายวัน ไปวัด ไปตลาด ไปชิมร้านอร่อยในเมือง ทุกอย่างน่ารักและเป็นธรรมชาติจนฉันตั้งปณิธานว่าหากมีโอกาสได้กลับมาเยือนน่านอีกครั้ง ปัวจะเป็นจุดหมายแรกในการกลับมา


ทุ่งรวงทองที่ปัว

จากปัว เราเดินทางต่อไปยังน่านเขตเหนือ ทุ่งช้าง - บ่อเกลือ - เฉลิมพระเกียรติ --- ก่อนขึ้นบ่อเกลือ เราแวะอุทยานแห่งชาติดอยภูคา อุทยานแห่งชาติที่สูง 1,980 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ว่ากันว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว แต่ที่นี่ไม่ได้แค่หนาว แต่ยังสวยสุดใจ --- ทิวเขาที่เรียงตัวกันเป็นแนวยาวสุดสายตา ฟ้าสีฟ้า เมฆที่ระบัดระบายฟ้าไม่ให้โล่งเกินไป ทุกอย่างทำให้การเดินทางครั้งนี้แสนคุ้มค่า เราพร้อมใจกันเปิดกระจกรถตู้ ลมหนาวพัดมาปะทะผิวกาย เป็นหนาวที่ทำให้ใจอุ่นเหลือเกิน --- ก่อนถึงที่ทำการอุทยาน เราแวะน้ำตกต้นตอง น้ำตกที่ต้องเดินลัดเลาะทุ่งข้าวโพดและเขาลูกใหญ่หนึ่งลูกลงไปกว่าจะถึง เหนื่อยหนักแสนสาหัส แต่ก็ทำให้อาหารมื้อกลางวันที่ที่ทำการอุทยานอร่อยขึ้นอีกหลายเท่า มื้อนั้นเราได้กินหนอนรถด่วนทอดสดๆ กระบอกละ 40 บาท บริการให้อย่างเต็มใจโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน  เป็นหนอนไม้ไผ่ที่มัน กรอบ อร่อยที่สุดในชีวิต!



บนดอยภูคา ทิวทัศน์ก่อนเดินลงน้ำตกต้นตอง

จากนั้นเราจึงเริ่มการเดินทางสู่น่านเขตเหนือ --- ว่ากันว่าเส้นทางสายเหนือนี้มีดีที่ความสวยงามของธรรมชาติ แต่สำหรับเรา  เส้นทางสายนี้คือเส้นทางแห่งการช็อปปิ้งอย่างแท้จริง

ที่บ่อเกลือไม่ได้มีแค่บ่อเกลือโบราณและโรงต้มเกลือ แต่สำหรับเรายังมีร้านภูเกลือ ร้านขายของฝากแห่งเดียวในบ่อเกลือ --- เช้าวันแรกที่บ่อเกลือ เรารุมของฝากในร้านกันอย่างบ้าคลั่ง สมุนไพรดูดกลิ่นลายนกฮูกในกระจาดถูกพวกเราแย่งกันซื้อไปคนละตัวสองตัว ในราคาตัวละ 59 บาท จนไม่เหลือไว้ขายแม้แต่ตัวเดียว --- จนถึงวันนี้พวกเราก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องแย่งกันซื้อนกฮูกดูดกลิ่นพวกนั้น
ที่ทุ่งช้างก็ไม่ได้มีแต่ส้มสีทองของดีของน่าน แต่ในความทรงจำของพวกเรา ที่ทุ่งช้างมีหมู่บ้านทุ่งสุน บ้านซึ่งทอผ้าได้สวยงามถูกใจเรามาก --- เราเข้าไปในศูนย์อย่างคนหน้ามืดตายลาย คนโน้นจะเอากระเป๋าใบนี้ คนนี้จะเอาผ้าม่านลายนั้น ---  ส่วนภาพที่เราเทถุงรองเท้าใส่ในบ้านแล้วแย่งกันรื้อแย่งกันเลือกลายที่ชอบยังเป็นภาพที่นึกถึงเมื่อใดก็มีรอยยิ้ม


โรงต้มเกลือของชาวบ้าน ที่อำเภอบ่อเกลือ

ส่วนที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ  อำเภอเหนือสุด  กันดารที่สุดทั้งในแง่เส้นทางและความเป็นอยู่ ก็มีตลาดชายแดนห้วยโก๋น ตลาดของทางสปป.ลาวที่เปิดให้คนลาวเอาของดีของฝั่งเขาเข้ามาขายในบ้านเราได้ --- ตลาดเปิด 8 โมงเช้า เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ของในตลาดก็หายวับไปกับตา เราเองก็ได้เข้าไปยื้อแย่งของกับชาวบ้านเป็นที่สนุกสนานมาด้วย

จากเฉลิมพระเกียรติ เรายังมุ่งหน้าไปต่อที่ภูพยัคฆ์ เทือกเขาที่เราจะจดจำความโหดของเส้นทางไปตลอดชีวิต  พี่แนน ผู้เป็นเนวิเกเตอร์ประจำกลุ่ม ดูแลเรื่องเส้นทาง ขนานนามให้ทางเส้นนี้ว่าทาง ก. ไก่ เพราะเส้นทางขรุขระและคดโค้งเหมือนรูปตัว ก.  เราต่างลงความเห็นกันว่าทางเส้นนี้ไม่ได้มีไก่แค่ตัวเดียว แต่มาด้วยกันทั้งเล้า ---  เส้นทางโหดขนาดไหน เมื่อขึ้นถึงเราก็ยังไปช็อปปิ้งผลผลิตจากลูกหม่อนกันมาได้ ทั้งๆที่ระหว่างเก็บข้อมูล เราก็ได้เด็ดกินลูกหม่อนสดๆจากต้นกันไปแล้ว  --- ลงจากภูพยัคฆ์ เราไปศูนย์ภูฟ้าพัฒนาและศูนย์การเรียนรู้ชนเผ่ามลาบรีหรือที่คนไทยเรียกติดปากกันว่าผีตองเหลือง  ที่นี่เราก็ยังอุตส่าห์ได้ผลิตภัณฑ์ติดไม้ติดมือกันมาคนละชิ้นสองชิ้นอย่างไม่สงสารรถตู้ปลาช่อนของเราที่ต้องแบกรับน้ำหนักของฝากอันมหาศาล --- การเดินทางครั้งนี้จึงถือเป็นการช็อปปิ้งปิดทริปเมืองน่านเขตเหนือด้วยความอิ่มเอมใจ แม้สตางค์ในกระเป๋าจะหดหายกันไปหมดแล้ว


หม่อน หรือ Mulberry ไม้มีชื่อของภูพยัคฆ์

ขากลับเราใช้ทางหลวงหมายเลข 1080 เฉลิมพระเกียรติ-บ่อเกลือ แทนที่จะกลับลงมาทางทุ่งช้างเหมือนขามา  เราต่างร่วมใจกันเรียกเส้นทางสายนี้ว่า “สวยโหด” เพราะทางนั้นคดเคี้ยวและยากลำบาก แต่ทิวทัศน์สองข้างทาง ทั้งทุ่งนา ทุ่งดอกไมยราบ นาขั้นบันได ทุ่งดอกผักกาดสีเหลืองสด ทิวดอกบัวตองนั้นสวยเกินจะพรรณนาได้ --- เรากลับมาถึงบ่อเกลือตอนบ่ายด้วยความหิวโหย เดินทางไกลในวันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า เราจึงสั่งส้มตำร้านหัวสะพานที่บ่อเกลือกินกันอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่ทำให้ประทับใจในวันนั้น นอกจากลมหนาววูบใหญ่ที่พัดมายามเราก้าวลงจากรถ หนาวเย็นกว่าลมหนาววูบใดๆตั้งแต่เรามาเยือนน่านแล้ว ยังมีส้มตำปูปลาร้าสุดอร่อยที่สั่งกินกันไม่อั้นอีกด้วย

เราปิดทริปทางเหนือด้วยการกลับไปเดินถนนคนเดินที่ตัวอำเภอเมืองน่าน ยิ่งเดินทางออกห่างจากทางเหนือ ความเป็นเมืองยิ่งเริ่มเข้ามาแทนที่บรรยากาศป่าเขา ใจเราเริ่มห่อเหี่ยว แต่ที่ทำให้ใจเหี่ยวที่สุดของการเดินทางในวันนั้น คือการเห็นนกฮูกเหมือนที่บ่อเกลือ ขายที่ถนนคนเดินในราคาแค่ 35 บาท!


สมุนไพรดูดกลิ่นลายนกฮูก ที่ถนนคนเดินกาดเก่าบ้านหัวเวียงใต้
สนนราคาตัวละ 35 บาทเท่านั้น


สวัสดีน่านเขตใต้
เวียงสา นาน้อย นาหมื่น

เรามาตั้งต้นกันใหม่ที่อำเภอเมือง จากนั้นจึงล่องใต้ลงไปยังอำเภอเวียงสา  อำเภอเล็กๆที่แสนมีเสน่ห์ ผู้คนเดินทางโดยจักรยานกันเป็นส่วนใหญ่  ได้มาเห็นด้วยตาตนเองจึงเชื่อแล้วที่ใครๆขนานนามให้ว่า เวียงสา เมืองน่ารัก’ ---  เรามีเวลาอยู่เวียงสาแค่ครึ่งค่อนวัน  หลังจากขี่จักรยานชมเมืองจนอิ่มหนำ เราตีรถลงใต้ ลงไปอำเภอนาน้อย อุทยานแห่งชาติศรีน่าน... ไปนอนดอยเสมอดาว

ดอยเสมอดาวคืนนั้น ดาวไม่สวยเอาเสียเลย เมฆปกคลุมท้องฟ้าเสียจนดวงดาวพากันหายหน้าไปหมด แต่ก็เป็นอีกหนึ่งคืนที่น่าประทับใจ --- ตกดึกหลังอาบน้ำเรียบร้อย เราสี่คน พี่แนน พี่พงศ์ พี่ปณัสย์ และฉัน พากันเดินคลำทางขึ้นไปยังจุดชมวิว คุยกันเรื่องการเดินทาง สถานที่ที่ประทับใจ หมายที่ชอบ/ไม่ชอบ และมาลงท้ายด้วยการคุยกันเรื่องหนังผี ลัดดาแลนด์ ชัตเตอร์ สี่แพร่ง ห้าแพร่ง ทุกเรื่องถูกงัดขึ้นมาพูดถึง จนค่ำคืนนั้นกลายเป็นค่ำคืนที่ทั้งหลอนและน่าจดจำ

สักพักเรากลับมายังลานกางเต็นท์ ที่ดอยเสมอดาวคืนนี้มีเพียงเราและเต็นท์อื่นๆอีกสามถึงสี่หลัง เงียบสงบและไม่เหงาจนเกินไป --- ด้วยอยากดูดาวมาก ฉันกับพี่แนนจึงลากเครื่องนอนออกมาหน้าเต็นท์และนอนแผ่ดูดาวบนท้องฟ้า เรื่องตลกในวันถัดมาก็คือพี่พงศ์บอกว่าเราทั้งสองดูดาวจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่มีใครรู้ และคงเป็นเพราะง่วงมาก เมื่อพี่พงศ์มาเรียกให้เข้าไปนอนดีๆในเต็นท์เท่าไหร่ก็ไม่มีใครตื่น


แสงแรกของวันและทิวทะเลหมอก ที่ดอยเสมอดาว

เช้าวันถัดมาเราตื่นมาดูทะเลหมอกแต่เช้า  ถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนาน  หลังจากนั้นคือภารกิจการเดินขึ้นผาหัวสิงห์และผาชู้ --- เริ่มด้วยผาหัวสิงห์ เขาหินปูนสูงชันที่ต้องปีนขึ้นประมาณ 500 เมตร  ทุกคนปีนกันขึ้นไป ฉันรั้งท้าย สักพักเดินๆไปหัวก็กระแทกเข้ากับหินปูนเบื้องบน ฉันถอดใจ ก้าวแต่ละก้าวยากเย็น จึงถอยทัพกลับลงมารอเบื้องล่าง --- การปีนเขาหินปูนในวันนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า อันที่จริงหากใจกล้า ฉันก็คงจะปีนขึ้นไปได้เช่นใครเขา แต่เมื่อทุกอย่างจบลงตั้งแต่ที่ใจเรา ขาที่กำลังจะก้าวจึงเป็นอันหยุดชะงัก
เรายังเดินทางไปต่ออีกหลายที่  เสาดินนาน้อย  คอกเสือ  และแก่งหลวง --- เสาดินนาน้อยเหมือนทะเลทรายซาฮาร่า แผดเผาเราทั้งผองให้มอดไหม้ --- แก่งหลวงน้ำเชี่ยว เหมาะสำหรับคนใจกล้า --- จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติขุนสถาน นอนเต็นท์ กลางคืนลุกออกมาดูดาว ตอนเช้ารอพบแสงแรกของดวงอาทิตย์ --- แสงแรกของวันในวันนั้นสวยงามเหลือเกิน เราใช้ตาและใจซึมซับภาพตรงหน้าสลับกับรัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง  เราต่างลงความเห็นว่าเราปิดฉากคืนสุดท้ายและวันสุดท้ายในน่านได้คุ้มค่าที่สุดแล้ว 


ขุนสถานยามเช้า
ปากนาย จุดหมายสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้

ตอนบ่ายจึงมุ่งหน้าไปปากนาย หมู่บ้านชาวประมงที่อพยพมาจากอุตรดิตถ์ พิษณุโลกหลังจากวิกฤตเขื่อนสิริกิติ์  --- ปากนายร้างไร้ผู้คน แต่สงบ สวยงาม --- เราล่องแพขนานยนต์กลับไปทางอุตรดิตถ์ ก่อนพี่กอล์ฟคนขับรถ ในฉายาพยัคฆ์ติดปีก จะพาเราทะยานกลับสู่กรุงเทพฯในตอนบ่ายวันถัดไปนั้นเอง



'บ้าน'

มีคนบอกว่า  เมื่อเราได้เดินทางไกล  เมื่อกลับมายัง 'บ้าน' ของเรา  ภาพที่เรามองบ้านจะเปลี่ยนไปตลอดกาล   

วินาทีแรกที่รถตู้ของเราเคลื่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ  แวบแรกความรู้สึกคือความโหยหาทุ่งนาป่าเขา แต่อีกแวบหนึ่งกลับมองเห็นความสวยงามในตึกราม ในท้องฟ้าสีเทา  นึกถึงห้างที่ชอบเดิน รถไฟฟ้าสถานีที่คุ้นเคย รถเมล์ที่โหนจนเคยชิน คิดถึงโรงหนังที่ชอบไปดู  แล้วจู่ๆความปลาบปลื้มก็เข้ามาจู่โจม --- สำหรับฉัน, กรุงเทพฯไม่ใช่บ้านเกิด แต่มันก็คือบ้าน คือสถานที่ที่หล่อหลอมให้ฉันเป็นฉัน อุ้มชูฟูมฟักให้เติบโตจนวันนี้ --- ขณะรถตู้ค่อยๆเคลื่อนตัวบนทางด่วน ฉับพลันนั้นเองที่ฉันคิดได้ว่า ความลับอย่างหนึ่งของการเดินทางก็คือ การทำให้เราได้ตระหนักรู้อยู่เสมอถึงความเป็นจริงของชีวิต ---  การเดินทางให้ความสุข ความอิ่มใจ ให้สิ่งที่บ้านให้ไม่ได้ แต่สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาบ้าน มาทำหน้าที่ มามีชีวิต

The long and winding road


23

ตั้งแต่เกิดมา 23 ปี,  ฉันเต็มใจจะเชื่อว่าปีนี้เป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต  

แต่เมื่อจะสิ้นปีอย่างนี้  เมื่อผ่านประสบการณ์หลายอย่างมาระยะหนึ่ง ฉันกลับพบว่าความเลวร้ายอย่างสาหัสของมัน ทำให้มันเป็นปีที่มีเรื่องให้จดจำมากที่สุดด้วย --- แน่นอน, ไม่อาจปฏิเสธได้, หลายเรื่องไม่ควรจดจำ โดยเฉพาะความพลาดพลั้งที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำลืมเลือนไปเสียได้ แต่อีกหลายต่อหลายเรื่องในปีนี้ ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ในห้วงทรงจำ --- การต้องจากบ้านไปอยู่น่านเป็นเวลานานถึงครึ่งเดือนทำให้ฉันฉุกคิดอะไรได้มาก  ฉันเรียนรู้ที่จะปรับตัวปรับใจในหลายสถานการณ์  รู้จักความป่วยไข้  รู้ซึ้งถึงความเปราะบางของชีวิต ตระหนักรู้ว่าจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ แต่ร่างกายเราก็สำคัญไม่แพ้ ต้องดูแลให้ดียิ่ง  

ส่วนเรื่องเลวร้าย ยิ่งมันเลวร้าย มันก็ยิ่งทำให้เราแข็งแกร่ง และหัวใจก็ยังคงเป็นอวัยวะที่เต้นอยู่ที่อกข้างซ้ายเหมือนเดิม ไม่ว่ามันจะบอบช้ำมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง





Patha V


2 comments:

  1. น่านเป็นจังหวัดหนึ่งที่ฉันหมายตา ตั้งใจจะไปให้ได้เมื่อมีโอกาส
    รู้สึกอิจฉาแกไม่หายเวลาแกได้ไปเที่ยว 55555


    ฉันเคยเดินทางขึ้นดอยแบบดอยทุรกันดารจริงๆ อยู่ครั้งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไกลมาก ไม่มีไฟฟ้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เลย
    ถนนน่ากลัวมาก แคบ รถวิ่งได้คันเดียว นั่งอยู่บนรถ มองผ่านหน้าตาไปเห็นข้างตัวเป็นเหว โอย ฉันว่าประสบการณ์การขึ้นดอย ขอครั้งเดียวพอแค่นั้นนะ แม่งเสี่ยงชีวิตเกินไปว่ะ

    ฉันเริ่มมีความคิดว่า จะเดินเที่ยวตามรอยพี่หวายแล้วนะ...เริ่มจากน่านเลยเป็นไร อิอิ

    ป.ล.ภาพสวยทุกภาพเลยแก โดยเฉพาะภาพท้องฟ้า
    ป.ล.2 รู้สึกดีใจที่ได้อ่านบันทึกเจาะลึกแบบที่แตกต่างออกไปจากต้นฉบับในนายรอบรู้


    โญ

    ReplyDelete