Tuesday, January 15, 2013

ทางกลับบ้าน




ทางเส้นเก่า

ฉันใช้เส้นทางใหม่ในการเดินกลับบ้านมาได้ร่วมสัปดาห์แล้ว

ฉันทำงานอยู่ย่านผ่านฟ้าลีลาศ และพักอาศัยอยู่ในย่านปิ่นเกล้า เส้นทางที่ใช้เดินทางกลับบ้านประจำคือเดินลัดชุมชนวัดปรินายกไปจนถึงสะพานเฉลิมวันชาติ จากนั้นเดินตามถนนพระสุเมรุไปจนถึงบางลำพู ตรงไปจนถึงถนนพระอาทิตย์ เดินเลียบพระอาทิตย์แล้วขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า จากปิ่นเกล้าตรงไปเรื่อยๆ ข้ามแยกอรุณอมรินทร์ แล้วก็จะถึงจุดหมายที่ซอยสมเด็จพระปิ่นเกล้า ๑๙  ฉันใช้เส้นทางนี้เป็นประจำจนคุ้นเคยเป็นอย่างดี รู้ว่าถนนช่วงไหนอันตรายช่วงไหนปลอดภัย ช่วงไหนควรเดินอย่างไร แยกไหนควรระมัดระวังเป็นพิเศษ



สะพานพระราม ๘

ฉันใช้เส้นทางใหม่ในการเดินกลับบ้านมาได้ร่วมสัปดาห์แล้ว

ทางเส้นใหม่เริ่มจากเดินลัดเลาะจากถนนราชดำเนินนอกมาสู่เส้นพระราม ๘  จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ ผ่านสี่แยกใหญ่ๆราวสามแยกแล้วก็จะมาถึงตีนสะพานพระราม ๘ ในเวลาเพียง ๓๐-๔๐ นาที  ข้อสรุปจากการลองเสี่ยงเดินบนทางใหม่นี้คือเส้นทางนี้เงียบเหงากกว่า ไร้ความบันเทิงเริงรมย์อย่างที่จะพบได้ที่บางลำพูหรือท่าพระอาทิตย์ แต่บรรยากาศบนสะพานพระราม ๘ นั้นดีกว่าและปลอดภัยกว่าสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้ามาก ด้วยเหตุผลเล็กๆเพียงเท่านี้ ฉันตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้านตั้งแต่วันที่ได้ลองเดินขึ้นสะพานพระราม ๘ เป็นครั้งแรก

ที่จริงไม่ใช่ครั้งแรก, แต่มันคือครั้งที่ ๒ แล้ว ที่ฉันได้เคยเดินขึ้นมาบนสะพานพระราม ๘

ครั้งแรกเกิดขึ้นราว ๖ ปีก่อน สมัยตัวเองยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ครั้งแรกคือความประทับใจ หลังจากนั้นเมื่อผ่านมาย่านนี้คราวใดความทรงจำสมัยมัธยมปลายก็พรั่งพรู ต่อมาเมื่อวันเวลาผ่าน ได้มาทำงานและพักอาศัยในย่านนี้ ความหมายของพระราม ๘ ในใจจึงกลายเป็นเพียงทางผ่าน เช้าเย็นได้แต่เหลียวมองและตระหนักว่าเดินทางจากบ้านสู่ที่ทำงานหรือที่ทำงานกลับบ้านได้ครึ่งทางแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ เมื่อได้เปลี่ยนเส้นทางอีกครั้ง สะพานพระราม ๘ จึงไม่ได้กลายเป็นแค่ทางผ่านอีกต่อไป



สวนหลวงพระราม ๘

สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดฉันให้เริ่มเดินกลับบ้านด้วยเส้นทางใหม่คือสวนหลวงพระราม ๘ สวนสวยขนาดใหญ่ใต้สะพานฝั่งธนบุรี ที่นี่คือสถานที่ออกกำลังกายแห่งใหม่ที่ฉันเพิ่งค้นพบ มีลู่วิ่งอย่างดีล้อมรอบสวน มีลานกว้างให้ออกกำลังกาย ลานลีลาศ ลานแอโรบิก ลานฟุตบอล เก้าอี้ให้นั่งพัก เรียกว่าไม่ว่าจะไปตรงไหนก็มีกิจกรรมให้ออกกำลังกายได้  เหลียวมองไปรอบตัว ทั้งเด็กๆ หนุ่มสาว ผู้ใหญ่ ต่างออกกำลังกายกันอย่างกระตือรือร้น

หลังจากเดินลงสะพานแล้ว ฉันจะเข้าไปเปลี่ยนกางเกงในห้องน้ำ เอากระเป๋าฝากไว้ที่ป้อมยาม เตรียมอุปกรณ์ช่วยในการวิ่งอันได้แก่มือถือบรรจุเพลงจังหวะค่อนข้างเร็วและหูฟัง เมื่อเริ่มก้าวเท้า จังหวะของเพลงจะทำให้เราก้าววิ่งได้เป็นจังหวะไปด้วย ฉันวิ่งสลับกับเดิน เคลื่อนตัวไปตามฝูงชนที่มาวิ่ง หลายคนวิ่งแซงหน้า หลายคนหยุดเดินให้แซงไปได้ง่ายดาย วันแรกๆฉันใช้วิธีโหมวิ่งจนเหนื่อยล้า วันหลังๆเมื่อได้ศึกษาจากคนมาวิ่ง สังเกตการเคลื่อนไหวของแผ่นหลังและการเคลื่อนที่ของเท้าจึงพบว่าการวิ่งที่ดีไม่ใช่การโหมจนเหนื่อยหนัก แต่คือการคุมจังหวะไม่ว่าจะเร็วหรือช้านั้นให้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายต่างหาก

ที่สำคัญที่สุด ยิ่งวิ่ง ฉันยิ่งเรียนรู้ว่าสิ่งที่เหนื่อยล้าได้ง่ายกว่าร่างกายคือจิตใจ เมื่อใจท้อกายก็ล้าง่าย เมื่อใจสู้กายก็ยังไหว ชัยชนะสูงสุดของฉันจึงเป็นขณะที่ใจบอกว่าไม่ไหวแล้ว แต่ที่สุดยังฝืนก้าววิ่งต่อไปและก็ยังวิ่งต่อไปได้อีกไกล นี่เป็นชัยชนะเล็กๆที่ฉันรู้สึกว่ายิ่งใหญ่มาก



วิ่งสู่อิสรภาพ

คนเรามาวิ่งเพราะอะไร ฉันถามตัวเองขณะวิ่งอยู่บนทางร่มรื่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตะวันใกล้จะลาลับท้องฟ้าเต็มทีแล้ว มองดูผู้คนที่วิ่งผ่านหน้าไป หลายคนดูแข็งแรง บ่งบอกว่าออกกำลังกายทุกวันจนเป็นเรื่องธรรมดา หลายคนดูออกว่าเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มต้น นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง รัก ๗ ปี ดี ๗ หน ที่ตัวเอกในเรื่องวิ่งเพื่อลืมความทุกข์เศร้า เพื่อให้เลิกจมจ่อมอยู่ในวันคืนเก่าๆที่ไม่หวนคืน พลางสงสัยว่าจะมีคนสักกี่คนที่นี่ใช้วิธีวิ่งเพื่อลบลืมสิ่งเดียวกันนี้บ้าง

ขณะยืนมองดูผู้คนเม็ดเหงื่อก็หลั่งไหล บางหยดกระเซ็นเข้าปากให้ได้รู้รส - เค็มคือรสของเหงื่อ รสที่แปร่งปร่าไม่ต่างจากน้ำตา.. ระหว่างเหงื่อและน้ำตา อย่างไหนที่คนเราคัดหลั่งออกมาจากร่างกายมากกว่ากัน ฉันไม่อาจรู้ได้ สิ่งเดียวที่รู้คือ เมื่อได้ออกวิ่ง เม็ดเหงื่อที่ผุดพรายจะถูกลมพัดพาให้ระเหิดหายไปได้

น้ำตาเองก็คงจะเหือดหายได้ด้วยวิธีเช่นนั้น



ปลายทาง กิจวัตร

ฉันจะเลิกวิ่งเมื่อสวนเปิดไฟในลู่วิ่ง และสะพานพระราม ๘ อร่ามเรืองไปด้วยแสงไฟสีเหลือง นั่งฟังเพลง มองผู้คน มองเรือ มองแม่น้ำสักพัก แล้วจึงเดินทางกลับที่พักย่านปิ่นเกล้า จบการเดินทางกลับบ้านไปอีกหนึ่งวัน เพื่อที่จะทำอย่างเดิมอีกในวันรุ่งขึ้น 

เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เมื่อเราทำอะไรติดต่อกันได้ ๒๑ วัน เมื่อวันที่ ๒๒ มันจะกลายเป็นกิจวัตรที่เราขาดไม่ได้ หวังว่าการเริ่มต้นเปลี่ยนการเดินทางและการวิ่งทุกเย็นจะช่วยให้ฉันชำระสะสางสิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆทั้งทางร่างกายและจิตใจออกไปได้ และเมื่อถึงวันหนึ่งการเริ่มต้นจะกลายเป็นกิจวัตร 



Patha V







4 comments:

  1. I really like your blog this week na.

    P' Tao :)

    ReplyDelete
  2. จะรอชื่นชมย่างก้าวสู่วันที่ยี่สิบสองของแกนะ อิอิ
    ช่วงแรกเดินก่อนเยอะๆ แก อาทิตย์แรกๆ เน้นเดินอย่าวเดียวเลย
    จากนั้นเปลี่ยนเป็นเดินสองนาที วิ่งสองนาที และอาทิตย์ต่อๆ ไปเพื่มเวลาในการวิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สลับเดิน เราจะรู้สึกสบาย ร่างกายจะปรับตัว เราจะไม่เหนื่อยกับการวิ่งจนเข็ดขยาดไม่อยากไปวิ่งอีก
    ทำแบบนี้ไปเรื่อยประมาณสัปดาห์ที่ห้าเราก็จะวิ่งยาวได้ถึงสามสิบนาทีเลยโดยไม่เหนื่อยมากเพราะร่างกายปรับตัวได้แล้ว
    อ้อ ดื่มน้ำทุกสิบห้านาทีด้วยนะ สำคัญมาก
    (อดเป็นห่วงที่รักไม่ได้ พิมพ์ซะเยอะเลยตู)
    เค้ามีตารางฝึกวิ่ง เดี๋ยวส่งให้ 55555555
    สู้ๆ นะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. โอ้ว ขอบคุณมากแก อาทิตย์นี้ฉันติดภารกิจ ไม่ได้วิ่งเลยแฮะ แต่จะกลับไปวิ่งแล้วแหละ อยากได้ตารางจังเลยยย :)

      Delete