Sunday, November 16, 2014

3 months in NC



10 พฤศจิกายน 2557
ครบรอบ 3 เดือนพอดีที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา 
ที่เมือง Chapel Hill รัฐ North Carolina






รู้ตัวอีกทีก็ผูกพันกับป่าชาเพลฮิลล์ไปแล้ว โดยเฉพาะเวลาหนีออกไปเที่ยวนอกเมืองไกลๆแล้วกลับมาถึงจะรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ เมืองนี้จะไม่มีอะไรเลย ไม่มีแสงสีเสียง ไม่มีที่เที่ยวฮิปๆเก๋ๆ ไม่มีห้าง ไม่มีรถไฟฟ้า ฯลฯ แต่มันก็มีอะไรให้ทำอยู่ตลอดเวลา ช่วงนี้ป่าเปลี่ยนสีแล้วที่นี่เลยยิ่งสวย แค่เดินถ่ายรูปต้นไม้ก็ใช้เวลาให้หมดไปได้ทั้งวันแล้ว 

คนก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับที่นี่ ทั้งเพื่อนฝรั่งทั้งครูทั้งพี่ๆคนไทย พี่คนนึงเคยบอกว่ามันต้องเป็นโชคชะตาแน่ๆที่ทำให้เราเลือกเรียนที่นี่แล้วก็ได้มารู้จักกันแบบนี้ ก็ถ้ามันจะเป็นโชคจริงๆเราก็ถือว่ามันเป็นโชคดีมากๆ ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ท้ายที่สุดเราเลือก UNC  

ไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่คนไม่รู้จักก็สร้างเซอร์ไพรส์ให้เราได้เสมอ เมื่อวันก่อนไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน ตอนแรกก็แค่กะจะไปเดินเล่นซื้อขนมปรากฏช็อปปิ้งเพลินไปหน่อยเลยได้ของกลับมาสี่ห้าถุง! ไม่รู้ทำไปได้ยังไงแต่ในเมื่อทำไปแล้วก็ต้องหิ้วของพะรุงพะรังขึ้นเนินเดินไปป้ายรถบัสฝั่งตรงข้าม ระหว่างที่เดินข้ามถนนอยู่นั้นเองก็มีรถคันนึงที่จอดติดไฟแดงอยู่บีบแตรให้ เปิดกระจกแล้วตะโกนถามออกมาว่าไปไหนไปส่งมั้ย รีบขึ้นมาเร็วๆ แวบแรกก็เกรงใจแต่ด้วยความที่ของหนักมากก็เลยรีบวิ่งไปหาสาวสวยเจ้าของรถ บอกว่าชั้นไปสี่แยกข้างหน้านี้เองเธอผ่านมั้ย เธอบอกว่ารีบขึ้นมาก่อนเถอะ เราก็เลยได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถในท้ายที่สุด 

เธอบอกเธอชื่อเกรซ ทำงานอยู่ที่ Durham เมืองข้างๆ แล้วก็คุยอะไรกันอีกนิดหน่อยว่าเราเรียนอะไรมาจากไหน เราก็กล่าวขอบอกขอบใจเธอไปยกใหญ่แล้วถามว่าเธอกำลังจะไปไหน เธอบอกว่าจริงๆเธอไม่ได้มาทางนี้หรอกแต่วิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วเห็นเราหอบของเยอะแยะมากมายเลยวนรถกลับมาจะไปส่ง เธอบอกว่าเมื่อก่อนตอนยังไม่มีรถเธอก็เคยแบกของเยอะๆแบบนี้มารอบัสเหมือนกัน เธอเข้าใจมากๆว่ามันเหนื่อยแค่ไหน เธอเลยตัดสินใจวนรถมารับ! 

จุดนั้นมันพีคมาก เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่มากๆเพราะยังมีคนใจดีแบบนี้ นี่เลยเป็นอีกเรื่องประทับใจที่มีต่อที่นี่ เราไม่รู้เลยจริงๆว่าถ้าเราอยู่ในเมืองใหญ่จะมีใครทำแบบนี้ให้คนที่ไม่รู้จักไหม แต่เพราะที่นี่คือ Chapel Hill คือ NC คือรัฐเล็กๆที่ไม่ต้องรีบร้อนไปไหนหรือแข่งขันอะไรกับใครมากมาย เราจึงยังได้พบเจอคนดีๆและมีคนดีๆอยู่รายล้อมเสมอ






Saturday, November 8, 2014

MissG aka Dee for that handsome barista at starbucks


I didn’t think before I would like her as much as I do today. She’s the one who I feel very comfortable to hang out with. She is the one who makes me laugh until my belly hurts by her simple words. She is the one who I have never felt annoyed when she is around me. She is the one who is the reason why I have never skipped a Friday class. She is the only one here who I can say she is my close friend.

She sometimes reflects who I am, and on the other hands she shows me a kind of person who I can’t be.  She often says she is mean, but she’s far from that word in my eyes. When she gets angry at someone, she just talks about the point that pisses her off. She rarely gossip about something that is out of topic and this is another thing I can learn from her. She often says she isn’t good at this and that, but actually she’s better than she thinks she is, and I’m very proud of her.

Not only relationship that needs the ‘right place and right time’ thing, friendship too.



That Original Frippo

Saturday, November 1, 2014

Blue sky fan god



G.O.D คืออีกหนึ่งบอยแบนด์จากแดนกิมจิในดวงใจของเราเคียงคู่มากับ Shinhwa แต่ต่างตรงที่เราไม่ได้ติดตามทุกก้าวย่างของ G.O.D ไม่ได้เป็นแฟนพันธ์แท้ถึงขนาดรู้ทุกเรื่องราว ไม่ได้เริ่มชอบด้วยรูปลักษณ์ แต่เราชอบ G.O.D เพราะผลงานล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงโปรโมตหรือเพลงหน้า B พวกเขาไม่เคยทำให้เราผิดหวัง มันออกมาดีตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงอัลบั้มล่าสุดที่กลับมารวมกันอีกครั้ง มีหลายเพลงที่เราร้องคลอได้เกือบทั้งเพลง แต่เราเกือบลืมไปแล้วว่ามันเป็นเพลงของ G.O.D ไม่ใช่แค่เพลงแต่รวมถึง Yoon Kye Sang ที่เราเกือบลืมไปแล้วว่าพ่อหนุ่มตาตี่ขวัญใจสมัยมัธยมของเราคนนี้ก็เป็นอดีตสมาชิกของวงนี้ด้วยเช่นกัน 

จริงๆ เราแทบไม่ได้สนใจวงการบันเทิงเกาหลีแล้วด้วยซ้ำ เหมือนมันหมดวัยไปแล้ว แต่พอเราได้ฟังเพลงนี้ของ G.O.D ได้รู้ว่าพวกเขากลับมารวมตัวฉลองครอบรอบ 15 ปี ความรู้สึกมันดีใจ มันกระตุ้นความคิดถึง อยากดูคอนเสิร์ต อยากฟังเพลง อยากดูภาพเคลื่อนไหว อยากเห็นว่าแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน พอได้ดูได้เห็นมันเหมือนกับว่าเราได้เจอเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน เวลาเห็นพวกเขายิ้มเราก็ยิ้มตามไปด้วย โดยเฉพาะรอยยิ้มอายๆ ของ Kyesang และรอยยิ้มสดใสของ Hoyoung มันมีความหมายมาก ไม่ใช่เพราะเราชอบสองคนนี้ที่สุดแต่เพราะภายใต้รอยยิ้มเหล่านั้นมันถ่ายทอดเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของพวกเขา มันเป็นรอยยิ้มที่เราเห็นแล้วเรารู้สึกได้เลยว่าพวกเขามีความสุขมาก แล้วก็แอบมีน้ำตาคลอด้วยความคิดถึง เพราะสมัยนั้นเราบ้าคลั่งอะไรแบบนี้มาก

แม้วันนี้เราจะโตขึ้นจากเด็กมัธยมต้นเป็นสาววัยเฉียดสามสิบ พวกเขาก็ผ่านพ้นวัยหนุ่มน้อยเป็นหนุ่มใหญ่เต็มตัว แต่ความรู้สึกในวันเก่าๆ มันก็แทรกซึมอยู่ข้างในความรู้สึกไม่เคยหายไปไหนเลย



That Original Frippo

credit: picture