Friday, September 26, 2014

Bells beach 2014



แม้การศึกษาคือเหตุผลหลักของการย้ายถิ่นฐานชั่วคราวมาออสเตรเลีย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวของการเดินทางมาที่นี่ เรายังคงตั้งมั่นในการเดินทางรอบประเทศที่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหกของโลกแห่งนี้ เรายังพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในประเทศที่ไม่คุ้นชิน เราพร้อมที่จะคว้าทุกโอกาสที่พุ่งเข้ามา เฉกเช่นเดียวกับการลองผจญภัยในเส้นทางแปลกใหม่

Easter Saturday ที่ผ่านมา เรานั่งรถไฟจากบ้านผ่านตัวเมืองเพื่อเดินทางไป Geelong ต่อรถประจำทาง และกระโดดขึ้นรถ free shuttle bus มุ่งหน้าสู่ Bells Beach สถานที่แข่งขันเซิร์ฟระดับโลกโดยมี Rip Curl Pro เจ้าภาพ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 53 แล้ว

เราไม่แน่ใจนักว่าเราสนใจกีฬาชนิดนี้มานานมากเท่าไหร่ เราเพียงรู้ว่ามันค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาอยู่ในใจเราทีละเล็กทีละน้อยในช่วงวัยเยาว์ และพุ่งพรวดโจนทะยานในช่วงระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา  

เนื่องจากวันพฤหัสและศุกร์สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยจนทำให้ทั้งสองวันกลายเป็น lay day ของการแข่งขัน เช้าตรู่วันเสาร์เราจึงตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อเช็คโปรแกรมการแข่งขันให้ แน่ใจว่ามัน on หรือ off ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่เป็นใจ การแข่งขันเริ่มตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ระหว่างแต่งตัวเราก็ดูถ่ายทอดสดไปด้วย Nat Young หนึ่งในนักเซิร์ฟคนโปรดของเราก็ทำได้ดีในรอบนั้น แม้วันนี้จะตกรอบสามไปแล้วก็ตาม

จากบ้านที่ Glenferrie เรานั่งรถไฟไปลงที่ Southern Cross สถานีรถไฟที่มีกลิ่นอายของหมอชิตใหม่ลอยอยู่จางๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้บริการรถไฟ V/Line (ไป-กลับ $15.68) เราชอบบรรยากาศระหว่างทางมาก มีแต่ทุ่งนา มองแล้วสบายตาสบายใจ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ใจเราย้ำเตือนให้ตัวเรารู้ว่าถึงแม้เราจะเกิดในเมือง ใหญ่แต่ตัวตนของเรากลับไม่ใช่คนที่สามารถทนทานกับความวุ่นวายแบบนั้นได้นาน นัก

หนึ่งชั่วโมงไม่ขาดไม่เกินเราก็มาถึง Geelong เราต้องรีบออกจากสถานีเพื่อสอดส่องที่จอดรถประจำทางสาย 74 Geelong-Torquay-Jan Jac (ไป-กลับ $4) หากใครเดินออกทางเข้าออกหลักก็จะเจอที่จอดรถประจำทางอยู่ตรงหน้าเลย แต่หากใครออกประตูเล็กเหมือนเราก็เดินตรงแล้วมองขวาไว้ ไม่ไกลเลยเราก็จะเห็นรถประจำทางหลายสายจอดรอเราอยู่

คงเพราะเป็นวันหยุดยาวและประกอบกับที่สองวันก่อนงดการแข่งขัน วันเสาร์ที่ผ่านมาทั้งวัยรุ่นออสซี่และหลายเชื้อชาติต่างพากันมุ่งหน้าไปร่วมงาน หมุดที่ปักไว้ในแผนที่ในหัวแทบไม่ต้องใช้เพราะเมื่อถึงเวลาจริง พวกเขาลงที่ไหนเราก็ลงตามเขาไปนั่นแหละ

สี่สิบห้านาทีผ่านไป ผู้โดยสายค่อนรถลงที่ป้ายรถประจำทางเยื้อง Surf City ซึ่งเป็นที่จอดรถ free shuttle bus โดยรถจะออกทุกๆ ชั่วโมง แต่มีบริการเฉพาะช่วง long Easter weekend ที่ผ่านมาเท่านั้น หากวัดจากระยะทางที่ห่างกันไม่ถึงสิบกิโลเมตร เราใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง Bells Beach เพราะรถเยอะมาก นี่อาจจะเป็นการไปงานเทศกาลที่นี่ครั้งแรกที่มีคนให้ความสนใจขนาดนี้ ไม่สิ! อาจจะน้อยกว่า St Kilda Festival หน่อยนึง

รถลงปุ๊บก็เดินไปต่อคิวซื้อตั๋วเข้างาน แถวยาวมากแต่ไม่ใช้เวลานานอย่างที่คิด ถ้าใครมางานวันเดียวแบบเราค่าเข้าอยู่ที่ $8 ส่วนใครจะมาเกินสามวันก็ซื้อตั๋วแบบ festival pass $25 จะคุ้มกว่า ประเด็นอยู่ที่ลูกเด็กเล็กแดงไม่เกินสิบหกขวบ"ฟรี"

บรรยากาศในงานสนุกสนาน คนเยอะกำลังดี อากาศก็ไม่ได้เลวร้าย ลมพัดทีก็หนาว แดดออกทีก็ร้อน เผลอแป๊ปเดียวฝนก็พรำเม็ดเบาๆ นี่แหละรัฐ Victoria

เจอกันปีหน้าอีกนะ :)



That Original Frippo

Tuesday, September 23, 2014

A walk to remember



คืนวันอังคารที่แล้วกิ๊ฟโทรมาชวนไปลองจิบกาแฟร้านใหม่ เพื่อนของกิ๊ฟเล่าให้ฟังว่ามีร้านกาแฟแถวสถานีรถไฟ Auburn คนซื้อเยอะ รสชาติดี เปิดเช้าตรู่และปิดตอนสิบโมงเช้า ฟังดูน่าสนใจตรงที่เปิดปิดเร็วนี่แหละ กิ๊ฟบอกว่าสงสัยคนขายกลัวรวย เช้าวันพุธเรากับกิ๊ฟเลยนัดกันว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อเดินไปชิมกาแฟเจ้าที่เขาว่ากันว่าอร่อยเจ้านี้นี่แหละ

Auburn คืออีกหนึ่งเขตชานเมืองของ Melbourne ที่เต็มไปด้วยชาวแขกหลายชาติ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ปากีสถาน อิรัก และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งทำให้ราคาที่พักแถวนี้ไม่ถึงกับโหดร้าย แต่เนื่องด้วยเป็นย่านเล็กๆ ที่ยังไม่เจริญมากนักจึงทำให้รู้สึกเปลี่ยวในเวลากลางคืน 

ไม่ถึง 15 นาทีเราก็เดินจากบ้านถึงร้านกาแฟที่ว่า เราถึงบางอ้อว่าทำไมเขาถึงเปิดและปิดเร็ว เพราะร้านที่เราเห็นคือร้านกาแฟรถเข็นที่แฝงตัวอยู่ใต้สถานทีรถไฟ เราสั่ง latte no sugar ตามปกติ คุณลุงคนขายยิ้มแย้มเป็นกันเอง แต่ราคา $4 นี่ดูไม่ค่อยเป็นกันเองเท่าไหร่ถ้าเทียบกับปริมาณและรสชาติ บางทีเรื่องเครื่องดื่มอาหารการกินพวกนี้ก็อยู่ที่รสนิยมของแต่ละคนจริงๆ ถึงแม้กาแฟจะไม่เปรี้ยวแต่สำหรับเราร้านนี้ไม่ผ่าน

เมื่อกาแฟอยู่ในมือ อากาศยามเช้าก็ดี เราก็ไม่ลังเลที่จะชวนกิ๊ฟเดินเล่นไปตาม Auburn Road ซึ่งทำให้เรารู้ว่าย่านนี้นี่เล็กจริงๆ เดินวนไปวนมาอยู่ 2 รอบ กิ๊ฟจึงชวนเดินเลาะไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ในระแวกนั้นเพื่อหาบ้านเพื่อนเวียดนามที่กิ๊ฟอาจจะย้ายมาอยู่ด้วยปีหน้า

เรารักการเดิน ทุกครั้งที่เราออกเดินทางเราแทบไม่เสียค่าเดินทางให้กับขนส่งมวลชนในตัวเมืองต่างๆ เลย เพราะการเดินเท้าทำให้เราเห็นสิ่งเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ตามมุมเมือง แม้จะช้า แม้จะเหนื่อย แต่ทุกครั้งที่เราออกเดินเราก็ได้เรียนและรับรู้เรื่องราวดีๆ กลับมาเสมอ

การเดินในเช้าวันพุธที่ผ่านมาก็เช่นกัน ถ้าเราเลือกกลับบ้านหรือนั่งคุยกับกิ๊ฟที่ไหนสักที่เราคงไม่รู้ว่าย่านเล็กๆ แห่งนี้รายล้อมไปด้วยบ้านสวยๆ และน่ารักมากมาย ตัวบ้านส่วนใหญ่แถวนี้ทาสีขาว รั้วก็สีขาว ถ้าเป็นอิฐก็จะสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Hawthorn Brick ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของสถาปัตยกรรมในย่านที่เราอยู่ 

3 ชั่วโมงกับการเดินช้าๆ เอื่อยๆ ไปกับกิ๊ฟทำให้เราได้เรียนรู้นิสัยใจคอเพื่อนคนนี้ไปอีกขั้น เราเชื่อเสมอว่ามิตรภาพต้องใช้วันเวลาในการงอกเงย และเมื่อมันเริ่มแผ่กิ่งก้านผลใบแล้วมันก็ยังต้องใช้เวลาในการดูแลและประคับประครองไปเรื่อยๆ เรารู้จักกิ๊ฟเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว นับคำได้ที่คุยกันซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเรียน ต่างคนต่างเรียนจบ มาได้คุยกันอีกทีใน Facebook และก็สานสัมพันธภาพกันมาเรื่อยๆ สำหรับเรากิ๊ฟไม่ใช่เพื่อนสนิท เราต่างชอบและสนใจกันคนละแบบ แต่คงเป็นเพราะมันเป็นความต่างที่ต่างคนต่างให้เกียรติและยอมรับซึ่งกันและกัน วันนี้เราพูดได้เต็มปากว่ากิ๊ฟเป็นเพื่อนอีกหนึ่งคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ
"เราถามหน่อยสิว่าทำไมเธอถึงมาเรียนที่มหาลัยนี้"
"เอาจริงๆ แล้วก็เพราะกิ๊ฟอยู่ที่นี่ไง"


That Original Frippo

Thursday, September 18, 2014

Quote we like



"It doesn't matter if it's a relationship,
a lifestyle, or a job.
If it doesn't make you happy,
let it go."

- Unknown

Monday, September 15, 2014

Quote we like



"Stories make us more alive, 
more human, 
more courageous, 
more loving.”

- Madeleine L’Engle

Sunday, September 14, 2014

Everyday may not be good, but there is something good in everyday



นอกจากช่วงเวลาที่เรามีความสุขจะผ่านไปเร็วแล้ว ช่วงเวลาที่เรายุ่งวุ่นวายเข็มนาฬิกาก็หมุนเวียนวนไปเร็วเช่นกัน เผลอแป๊บเดียวการเรียนปริญญาโทก็ผ่านไปหกสัปดาห์แล้ว แม้งานจะถาโถมเข้ามามากมายเพียงใด แม้เราจะบ่นโวยวายให้ใครต่อใครฟังถึงความเหน็ดเหนื่อยที่เรารู้สึก แต่ให้ตาย! เราสนุกสนานกับการเรียนและการทำโปรเจคชะมัด เราเพิ่งรู้ว่าการเรียนในสิ่งที่สนใจมันให้ความรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

ตอนนี้อะไรหลายๆ อย่างเริ่มลงตัวมากขึ้น แม้จะยังหาเพื่อนที่เข้าขากันไม่เจอแต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก เราพยายามปรับความรู้สึกให้ลงตัวกับสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็น หมุนโฟกัสให้ชัดในจุดที่ควรชัด ในขณะที่บางจุดที่ควรเบลอเราก็ไม่ฝืนดื้อดึงปรับให้ชัดอีกต่อไป

เราเริ่มงานอาสาสมัครที่ Kinfolk Cafe ได้เกือบเดือนแล้ว แม้จะไม่ได้สวยงามอย่างที่เราวาดไว้ แต่นี่จะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ อีกหลายเรื่อง บางทีสิ่งที่คิดว่าใช่แต่พอได้ลองทำแล้วก็อาจไม่ใช่อย่างที่คิด เรารู้เลยว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่องานบริการ เราไม่สามารถยิ้มแย้มทักทายผู้คนได้ตลอดเวลา เราอาจมีจิตอาสา แต่ไม่มีจิตบริการ!

อาทิตย์หน้าเป็น mid-break เราตั้งใจจะออกไปถ่ายรูปสร้างสีสันให้ชีวิตมากขึ้น เพราะตลอดหกสัปดาห์ที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้โผล่ไปไหนเลย คิดว่าคงจะมีเรื่องราวสนุกๆ มาเล่าให้ฟัง



That Original Frippo