Thursday, February 28, 2013

Coming Home (III)

วันนี้พี่จะมาเล่า(บ่น) ตามที่ได้ลงท้ายไว้ในบล๊อกที่แล้วว่าว่าจะมาเล่าเรื่องของ”บ้าน”ที่สังเกตเห็นกลังจากที่ไม่ได้กลับบ้านมานาน ขอเกริ่นไว้ก่อนว่า บางคนอาจจะว่ามาอยู่แค่สองปีไม่เห็นนานเลย แต่เพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน(รุนแรง)ที่เห็น ทำให้รู้สึกว่าสองปีนั้นเป็นเวลาที่นานพอสมควรในความรู้สึกของพี่

ทริปนี้เป็นทริปกินของพี่อย่างจริงจัง เนื่องจากก่อนกลับว่าแผน ทำตารางอย่างดีว่าวันนี้จะไปไหน จะกินอะไร ดังนั้นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของอาหารการกินบ้านเรานั้น พี่ไม่ขอบ่น เพราะว่าทุกครั้งที่กลับบ้าน พี่ได้กินแบบอื่มหนำมาก จนขนาดที่น้ำหนักขึ้นถึงห้ากิโลภายในสองอาทิตย์ เรื่องอาหารนั้นบ้านเราขึ้นชื่อ ประเทศไหนเมืองไหนก็สู้ไม่ได้ แต่เรื่องที่สังเกตได้ชัดคือราคาอาหาร รวมถึงค่าครองชีพอื่นๆขึ้นราคาเร็วมาก (โดยเฉพาะกรุงเทพฯ) เช่น ข้าวขาหมูร้านริมถนนทั่วไป จากที่เมื่อก่อนสามสิบห้าบาท ตอนนี้ขึ้นไปห้าสิบ หมูย่างไม้ละสิบบาท (ช่วยด้วย - -) สเวนเซ่นส์จากที่เมื่อสองปีที่แล้วไอศครีมลูกละสามสิบห้าบาท ตอนนี้ขึ้นไปแล้วที่ห้าสิบ แต่ถึงจะบ่น กลับไปบ้านสองอาทิตย์นี้ พี่เข้าสเวนเซ่นส์ไปสามรอบ เนื่องจากอยากกินบาสกิ้น-รอบบิ้นส์ แต่สู้ราคาลูกละเก้าสิบไม่ไหว (ช่วยด้วยยย) เวลาออกไปไหนแบ๊งร้อย แบ๊งห้าร้อยหายไปเร็วมาก ยังสงสัยอยู่ ว่าคนหาเช้ากินค่ำ เค้าจะมีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนมั้ยนะ


Rachaburi, Thailand - February, 2013 


อีกเรื่องที่เห็นได้ชัดคือตึกสูงและการจราจร บ้านพี่ที่อยู่นั้นเป็นย่านชานเมืองของกรุงเทพ แต่ในเวลาแค่สองปี เมืองก็ขยายออกมาหาจนเห็นได้ชัด มีตึกเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมขึ้นมากมายตามเมืองที่ขยายออกมา คนที่ลำบากคือในพื้นที่ ที่อยู่มานาน มีบ้านมีสนาม ตอนนี้กลับมีตึกสูงระฟ้าขึ้นมาเหมือนกำแพง บังท้องฟ้า บังลมไปหมด ถ้าควบคุมกันไม่ดีต่อไปกรุงเทพคงมีแต่ตึก รถไฟฟ้า ทางด่วน คงไม่ต้องเห็นท้องฟ้ากันแล้ว

นอกจากเป็นทริปกินแล้วการกลับบ้านครั้งนี้ก็เป็นทริปชาร์ตพลังกายและใจ ถึงหลายๆอย่างจะเปลี่ยน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือครอบครัวและเพื่อน :) ความรู้สึกที่ทุกคนให้มายังเหมือนเดิม ได้รับทั้งความรัก ความห่วงใยมากสุดๆในรอบหลายปี เพื่อนบอกว่า “ได้เจอกันเหมือนฝันไป” (มันเน่ามาก แต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ) เวลาพี่อยู่กับแม่ แม่พี่ก็พูดไม่หยุด พี่ก็ทำหน้าที่ลูกที่ดี เดินตามแม่ต้อยๆไปรอบบ้านเพื่อไปฟังแม่พูด พี่สังเกตได้ว่าแม่เหงา แต่แม่ก็ยังปากแข็ง บอกว่า “ไม่เหงาหรอก อยู่คนเดียวจนชินแล้ว” … ก็เพราะครอบครัวและเพื่อนเนี่ยแหละ ที่ทำให้พี่เริ่มคิดถึงบ้านทั้งๆยังไม่ได้ออกจากไทย

พี่ตั้งใจไว้แล้วว่ากลับมาอเมริการอบนี้ พี่จะไม่ร้องไห้ แต่พอตอนพ่อกับแม่ไปส่งที่สนามบิน พี่ก็อดไม่ได้ ร้องไห้เป็นเด็กๆ ทั้งๆที่จากบ้านไปตั้งหลายรอบแล้วแต่ก็ทำใจไม่ได้ บอกแม่ว่าไม่อยากกลับ กลับไปก็ต้องอยู่คนเดียว (เป็นประโยคที่งี่เง่าที่สุดที่บอกแม่ไปตอนนั้น) ถึงพี่จะบ่นเรื่องนู่นเรื่องนี่ แต่ตอนนี้ก็ยังถามตัวเองอยู่ว่าถ้าไม่ใช่เพราะไม่อยากทิ้งโอกาส เรื่องประสบการณ์และอยากเก็บเงินไปคืนพ่อ มันคุ้มมั้ยที่เราจะต้องมาใช้ชีวิต ห่างเพื่อน ห่างบ้าน ห่างครอบครัวอย่างนี้...


เป็นคำถามที่หาคำตอบยากจริงๆ..



Mellow tiger.. 





Denver, CO - February, 2013

ภายุหิมะที่มาต้อนรับตอนถึงเดนเวอร์ .. กลับร้อนที่บ้านดีกว่ามะ ^^"

Tuesday, February 26, 2013

To Nakhon Phanom With Love (2)


ไม่ว่าจะย่างก้าวไปทางใด
เรายังคงได้สบตากับแม่น้ำโขง

To Nakhon Phanom With Love (2) 

: โขง





หลังจากผ่านเชียงคาน และเชียงของ
นครพนมเป็นเมืองชายโขงเมืองที่ 3 แล้ว ที่เราเดินทางร่วมกัน

อ้อ ใหม่ และฉัน

อ้อ, เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งในชีวิตของฉัน
ใหม่, เรารู้จักกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ความเป็นเพื่อนค่อยๆก่อตัวผ่านวันคืนที่ล่วงผ่าน

เราเดินทางด้วยกันทุกปี มีความทรงจำเกี่ยวกับสถานทีใหม่ๆด้วยกันอย่างน้อยปีละที่ และเมื่อมาคิดดูดีๆแล้ว เมืองชายโขงเป็นเมืองที่เรามักได้เวียนมาพานพบอยู่บ่อยครั้ง




สารภาพตามตรง, ฉันเป็นคนกลัวน้ำ ฉันไม่ชอบเดินน้ำตก ฉันไม่สนุกกับการเล่นน้ำทะเล ฉันหวาดกลัวการไปล่องแก่ง พายเรือคายัค แต่น่าแปลก แม่น้ำกลับมาเสน่ห์ดึงดูดฉันได้เสมอ โดยเฉพาะแม่น้ำสายใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนในดินแดนอุษาคเนย์มาเนิ่นนาน นามว่าแม่น้ำโขง

แม่น้ำโขงที่ชัยภูมิสวยงาม สะอาดสะอ้าน แม้จะไม่ถูกแต่งแต้มด้วยเหล่าดอกหญ้าและดอกไม้สีหวานสะดุดตาเช่นที่เชียงคาน หรือไม่ได้คึกคักเช่นเมืองหน้าด่านอย่างเชียงของ แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบเรียบง่าย ชนิดที่ตรึงใจฉันไว้ได้ไม่ต่างจากสองที่ก่อนหน้า





เราได้สบตากับแม่น้ำโขงตั้งแต่วันแรก ระหว่างเดินออกมาหาของกินในยามเช้า หลังจากอิ่มหมีพีมันไปกับอาหารมื้อแรกในนครพนม เราก็เดินเลียบแม่น้ำโขงไปตามถนนสุนทรวิจิตร ชมวิวแม่น้ำโขงไปจนถึงโบสถ์นักบุญอันนา รวมระยะทางจากที่พักไปที่โบสถ์แล้วไม่ต่ำกว่าสามกิโลเมตร




ในตัวเมือง เรายังไม่จุใจ เรายังตามแม่น้ำโขงไปจนถึงอำเภอธาตุพนม นอกจากความสวยงามของพระธาตุพนม ทัศนียภาพที่แตกต่างของแม่น้ำโขงก็เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของการเดินทางในครั้งนี้

โขงที่ธาตุพนมเหมือนหญิงสาวบ้านๆ ธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ได้แต่งแต้มสีสันบนใบหน้า ไม่ได้แต่งตัวสวย
แต่ก็มีเสน่ห์ไม่น้อยกว่าสาวสวยคนใด

ไม่เคยผิดหวัง, นี่คือความรู้สึกต่อโขงและเมืองชายโขงเมืองที่สามกับเพื่อนรักทั้งสอง ระหว่างที่เราต้องหันหลังให้กันอีกครั้ง ฉันอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่า เคล็ดลับการมองแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำสายอื่นให้สวย
อาจเป็นการที่เราได้มามองด้วยกัน กับคนที่ทำให้เรารู้สึกเสมอ ว่าโลกนี้สวยงามน่าอยู่เพียงใด









Patha V

Thursday, February 21, 2013

Coming Home (II)

หลังจากที่นั่งข้างสาว(ติดแฟน) มา 10 ชั่วโมง พี่ก็ถึงที่ญี่ปุ่น จริงๆแล้วมีเวลาเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่นถึงสองชั่วโมงกว่า แต่ก็ไม่มีแรงเดินไปไหน รอต่อเครื่องอีกสองชั่วโมง จึงได้ออกจาก Narita กลับไทย... พี่ได้นั่งข้างๆวิศวกรชาวภูฏาน เค้าตกใจมากที่พี่รู้จักประเทศเค้า เพราะประเทศเค้าเป็นประเทศเล็กๆที่มีประชากรประมาณเก้าแสนคน เค้าเล่าให้ฟังว่าประเทศภูฏานไม่ได้ร่ำรวยแต่ทุกคนมีความสุขดี เพราะรัฐดูแลค่าใช้จ่ายเรื่องบ้านและการศึกษาให้กับประชาชน ซึ่งพี่ว่าเป็นเรื่องดีมากๆ พี่บอกเค้าว่า พี่ไม่ได้กลับบ้านมาสองปีกว่า และเริ่มกังวล เพราะเพื่อนหลายคนบอกว่าตอนนี้กรุงเทพ ทั้งรถติด คนเยอะ ข้าวของแพง โดยส่วนตัว พี่ขออยู่ใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆที่ไม่วุ่นวายดีกว่า

ผ่านไปอีกเกืบเจ็ดชั่วโมงพี่ก็ถึงไทย(ซะที) ทันทีที่ล้อแตะพื้น  น้ำตาไหลและรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกตรงคอ ความรู้สึกแรกคือในดีใจและตื่นเต้นที่ที่สุดก็ได้กลับบ้าน เริ่มเข้าใจว่าความรู้สึกอยากจูบพื้นเหลังจากที่ลงจากเครื่องเป็นยังไง :) 

ในวันสองวันแรกที่พี่มาถึง พี่มีอาการ Culture Shock (รู้สึกว่าตัวเองกระแดะมาก ไม่อยู่บ้านแค่ 2 ปีเอง) พี่ไม่รู้ว่าคนที่ไปอยู่ต่างบ้านนานๆเค้าจะรู้สึกเหมือนพี่รึเปล่า แต่พี่รู้สึกสับสนกับสิ่งแวดล้ม งงๆกับตัวเอง ไม่ชินที่เจอคนหัวดำเดินเยอะแยะไปหมด จะพูดอะไรก็ต้องระวัง เพราะคนรอบข้างเข้าใจทุกอย่างที่พี่พูด จะพูดถึงคนอื่นอย่างที่เคยทำไม่ได้แล้ว มีบางครั้งที่พี่หลุดพูด Thank you และ Excuse me โดยบังเอิญ คนอื่นที่เค้าไปอยู่ต่างบ้านแล้วเจอคนไทยเยอะๆอาจไม่มีปัญหานี้ แต่สำหรับ แต่สำหรับคนที่ใช้เวลาส่วนมากกับชาวต่างชาติ ก็จะเริ่มเคยชินกับการใช้ภาษาที่สอง (ถ้าใครไปเรียนต่างประเทศ แล้วอยากได้ภาษาเยอะๆ พี่แนะนำว่าไปเรียนที่ที่คนไทยน้อยๆดีกว่า) อีกเรื่องที่ต้องปรับตัวคือการอยู่กับคนเยอะๆในบ้าน เพราะที่นู่นพี่อยู่คนเดียว ต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่ตอนนี้มาอยู่บ้าน มีพ่อ แม่ น้องและพี่ที่บ้านอีกหลายคนก็เลยรู้สึกแปลกๆ และอาจจะขาดความเป็นส่วนตัว จากที่รับผิดชอบตัวเองคนเดียว ตอนนี้ก็มีแม่มาคอยเตือนให้ทำนู่นทำนี่ เช่น เก็บห้อง ไปอาบน้ำ ถามเพื่อนก็เป็นคล้ายๆกัน คือเหมือนเรากลายเป็นลูกเล็กของพ่อแม่อีกครั้งนึง



Nangyuan Island, Thailand - February 15, 2013


กลับมาถึงบ้านได้วันแรก พี่ก็เตรียมเดินสาย พบญาติพี่น้อง ด้วยเวลาที่จำกัดแค่สองอาทิตย์ พี่เลยวางแผนว่าวันไหนต้องไปไหน ไปเจอใคร และไปกินอะไร การกลับบ้านครั้งนี้ พี่เลือกที่จะเจอเพื่อนที่สนิทๆ (ทุกคนได้รับโควต้า เจอพี่คนละ 1 ครั้ง ^^ ) และใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือต้องไปทะเล พี่เป็นคนชอบทะเลมาก แต่ดันเลือกไปเรียนที่ Colorado ซึ่งเป็นรัฐที่มีแต่ภูเขา ถ้าอยากไปทะเล ต้องบินไปรัฐอื่น ครั้งนี้พี่เลือกไปเกาะเต่าและนางยวน ซึ่งประทับใจมากๆ ทะเลสวยสุดๆ ถึงแม้จะมีเวลาที่จำกัดและใช้เวลาเดินทางนาน แต่ก็สนุกมากเพราะได้เดินทางกับคนที่รู้ใจและขอขอบคุณ Social Network ที่ทำให้เวลาที่กายเราห่างสองปีนั้น ไม่ได้เพิ่มระยะทางระหว่างเราเลย



Nangyuan Island, Thailand - February 15, 2013



ครั้งหน้าจะมาเล่า(บ่น)เรื่องของ”บ้าน”จากสายตาคนที่ไม่ได้กลับบ้านมานาน


Mellow tiger.. 


Tuesday, February 19, 2013

ก้าวที่ยี่สิบสี่ของชีวิต


พ่อบอกว่าวันที่ข้าพเจ้าเกิด
เป็นวันที่งานวัดที่บ้านสนุกสนานรื่นเริงที่สุด
ดังนั้นเมื่อนับตามปฏิทินจันทรคติ
และยึดเอาวันที่ชาวบ้านจะไปรวมตัวกันที่วัดเป็นวันคล้ายวันครบรอบ
สำหรับปีนี้ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556 จึงถือเป็นวันเกิดของข้าพเจ้า !

น่าเศร้า
มันเป็นวันที่ข้าพเจ้าต้องเดินทางจากบ้านอีกครั้งหนึ่งด้วย

วันเกิดปีนี้
ข้าพเจ้าเดินทางบนเส้นทางชีวิตมาได้ 24 ปีเต็ม
ประกวดนางสาวไทยได้ปีสุดท้าย
ประกวดเดอะสตาร์ไม่ได้
และอายุมากกว่านางเอกละครหลังข่าว
ข้าพเจ้าพบ, เช่นที่ตัวละครเอกตัวหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Liberal Arts พบ, ว่า
ไม่ว่าเราจะเติบโตมากขึ้นแค่ไหน
มนุษย์จะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่พอเลย

สำหรับวันเกิดปีนี้
ข้าพเจ้าไม่ขออะไรมาก..
ขอเพียงความสดใสไม่หมดไปพร้อมขวบวัย
ขอให้ไม่ว่าจะเดินทางอย่างมีเป้าหมายหรือเดินสะเปะสะปะก็ยังก้าวย่างได้อย่างมีสติ
ขอให้มีสมาธิและความอดทนเหมือนเมื่อครั้งสอบตรงเข้าอักษรฯ
ขอให้อ่านเก่งๆเหมือนสมัยแย่งกันอ่านแฮร์รี่ พ็อตเตอร์กับที่บ้าน
ขอให้เขียนเก่งๆเหมือนสมัยเขียนงานวิชาวรรณกรรมวิจารณ์
ขอให้เขียนได้ดีเป็นที่น่าพอใจเหมือนตอนเข้าค่ายสารคดี

ไม่เยอะเลยเห็นไหม ฮาๆๆ

แต่สุดท้ายข้าพเจ้ารู้ดี
ทุกความสำเร็จบังเกิดได้ด้วยหัวใจ สมอง และสองมือ
ข้าพเจ้าจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วที่จะค้นฟ้าคว้าดาว
มิใช่เพื่อจะไปเป็นดาวโดดเด่นอยู่บนฟากฟ้าเช่นบรรดาเดอะสตาร์
แต่คว้าเพื่อนำลงมาประดับ
ให้ชีวิตการย่ำอยู่บนผืนดินของข้าพเจ้ามีคุณค่าและความหมาย
ข้าพเจ้ารู้ว่าดาวมีค่า และน้อยคนที่จะมีโอกาสเป็นเจ้าของ
แต่เมื่อข้าพเจ้ามีสิทธิ์ลอง
ข้าพเจ้าก็มีสิทธิ์ครอบครองเช่นกัน

ข้าพเจ้าอายุมากขึ้น 1 ปี แต่ข้าพเจ้าก็จำต้องเดินทางต่อ
เพื่อค้นหาความหมายของการย่างก้าวไปข้างหน้า
เพื่อเรียนรู้โลก สังคม ผู้คน และตัวเอง
ปีหน้าข้าพเจ้าอายุ 25  และจะตามมาด้วย 26 27 28...
ข้าพเจ้าก็จะยังคงไม่หยุดหาความหมายของชีวิต
ข้าพเจ้าเชื่อว่า การหาคำตอบของชีวิตก็คงเป็นเช่นเดียวกับความรู้สึกของการเติบโต
ที่เรายังต้องเพียรค้นหาต่อไป ไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตาม



Thursday, February 14, 2013

Coming Home (I)


11 มกราคม 2554 คือวันที่พี่ออกจากไทยเพื่อไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกา จนถึงวันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2556) ก็เป็นเวลาสองปีกับอีกหนึ่งเดือนแล้วสินะ ที่พี่ไม่ได้กลับบ้าน...

พี่ใช้เวลาวางแผนการเดินทางนี้ถึงหกเดือน พอเริ่มเข้างานได้เดือนแรก พี่ก็ขอหัวหน้าลาพักร้อนในปีถัดไป ซึ่งหัวหน้าก็ใจดียอมโยกเวลาพักร้อนจากปี 2555 มาใช้ในปีนี้เพื่อที่พี่จะได้กลับบ้านได้นานขึ้น พอใกล้ๆมาถึงวันกลับเพื่อนร่วมงานและคนใกล้ตัวพี่จะสังเกตได้ชัดว่า ยิ่งใกล้ถึงวันกลับบ้าน พี่จะยิ้ม หัวเราะและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอถึงวันที่ทำงานวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับไทย ใจก็ไม่ได้อยู่ที่ทำงาน มันลอยไปถึงไทยแล้ว พี่ยิ้มและหัวเราะอย่างที่ไม่เคยทำมานาน พี่รู้สึกว่ากำลังจะได้กลับไปในที่ของพี่ ที่ๆมีคนรักและเป็นห่วงพี่อยู่ พี่ส่งเมซเสจไปหาคนไกล(ตัว)ที่อยู่ที่บ้านว่า “พี่มีความสุขมาก พี่ไม่ได้ยิ้มและหัวเราะเยอะอย่างนี้เป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว”

ในคืนก่อนกลับ พี่ได้ออกไปเจอเพื่อนใหม่เป็นชาวอเมริกันที่เคยมาอยู่ไทยได้หกปี ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแต่เราก็คุยกันถูกคอ เค้ามีเรื่องราวประสบการณ์ที่เคยอยู่เมืองไทย ได้ทำงานในศูนย์ผู้อพยพตามขอบชายแดนไทยพม่ามาแลกเปลี่ยนให้พี่ฟังอย่างสนุกสนาน เราคุยกันนานถึงสองชั่วโมงกว่า ทั้งๆที่ตอนแรกพี่วางแผนว่าจะเจอกันนิดๆหน่อยพอเป็นพิธี พอกลับถึงบ้านเค้าส่งเมสเซจมาขอบคุณที่ออกไปเป็นเพื่อนเค้า ได้คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน พี่สงสัยว่าถ้าเค้ามาเจอพี่ในตอนที่พี่ซึมเศร้า คิดถึงบ้านอย่างรุนแรง ความรู้สึกที่เค้ามีต่อเพื่อนใหม่อย่างพี่จะเปลี่ยนไปในอีกทางมั้ยนะ :)

การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ พี่เลือกใช้สายการบิน United บินออกจาก Denver ไป Seattle, Tokyo และมาถึงจุดหมายที่กรุงเทพ.. ตอนที่เครื่องบินบินออกมาจากเดนเวอร์แล้วมองผ่านเส้นขอบฟ้าที่ตัดกับเทือกเขา  พี่มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนเรากำลังบินออกจาก”บ้าน” นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะมีความรู้สึกนี้เข้ามาในหัว ความรู้สึกที่มีคือดีใจที่ได้กลับบ้านแต่มันก็ปนความเศร้าที่ต้องห่างจากบ้านหลังที่สอง สงสัยพี่คงเริ่มมีความผูกพันกับที่นี่เข้าแล้ว


Colorado, USA - February 9, 2013


การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ราบรื่นนัก มีข้อหงุดหงิดในหลายอย่าง ทั้งจากพนักงานสายการบินที่ดูไม่เอาใจใส่ลูกค้า และเพื่อนร่วมทางที่นั่งติดกันจาก Seattle ไป Tokyo ประเทศญี่ปุ่น เธอเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 20 ต้นๆ เค้าต้องการให้สามีเค้าแลกที่กับพี่ ซึ่งตอนแรกพี่ก็จะตกลงแต่ปัญหาที่ว่า คุณสามีนั่งที่ริมทางเดินตรงกลาง ซึ่งมีที่นั่งติดกัน 5 ที่นั่ง ต่างจากทางเดินริมหน้าต่าง ที่มีที่นั่งแค่สองที่เท่านั้น พอพี่ปฏิเสธและขอโทษ คุณเธอก็ดูไม่ได้ยินดีเท่าไหร่นัก รับคำขอโทษของพี่แบบผ่านๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเค้าควรจะเป็นคนรู้สึกผิดที่สร้างสถาณการณ์กระอักกระอ่วนให้เพื่อนร่วมทางอย่างนี้ ตลกดีที่คุณสามีดูไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรมากมาย นั่งเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในระหว่างการเดินทางสิบชั่วโมงนั้น เธอขอเข้าออกไปหาสามีประมาณสิบครั้ง ความเกรงใจของเธอถูกกลบด้วยความอยากใกล้ชิดสามี ถึงตรงนี้พี่อยากขอเตือนสาวๆว่า คนเรามีคนรักก็ต้องเว้นช่องว่างความเป็นส่วนตัว ปล่อยให้แต่ละฝ่ายได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง จะได้มีเวลาคิดถึงกัน คิดดูสิถ้าเค้ามองในแง่ดีว่า เรานั่งห่างกันสิบชั่วโมงแล้วค่อยมาเจอกัน เราก็มีเรื่องต่างๆมาแลกเปลี่ยนนู่นนั่นนี่ เช่น เนี่ยเธอ สาวไทยที่นั่งข้างๆชั้นนะ แผ่รังสีอำมหิตใส่ชั้นตลอดเลยอะ :P อย่างคู่นี้พี่เดาว่าคงเพิ่งรักกันใหม่ๆ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัวติดกันขนาดนั้น รู้อย่างนี้พี่ยอมแลกที่นั่งให้ตั้งแต่แรกแล้ว

ในการเดินทางทุกๆครั้งพี่จะติดหนังสือหนึ่งหรือสองเล่มเพื่ออ่านในเวลาว่าง การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้ หนังสือที่พี่เลือกคือ นั่งรถไฟไปตู้เย็นโดยนิ้วกลม ที่เลือกหนังสือเล่มนี้ เพราะตั้งใจจะอ่านให้จบจะได้เอามาคืนน้องสาวที่อยู่ที่ไทย พี่ว่าคิดถูกมากๆ เพราะมีข้อคิดหลายอย่างที่พี่อ่านแล้วรู้สึกว่าโดน อยากได้ปากกาไฮไลท์มาขีดเน้นข้อความหลายๆช่วง อาจเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ตอนนิ้วกลมได้เขียนตอนทำงานอยู่ไกลบ้าน พี่เลยรู้สึกเข้าถึงในหลายๆคำพูดที่เค้าสื่อออกมาได้อย่างดี..

“ สิ่งที่ทำให้บ้านน่าอยู่มากขึ้นก็คือการเดินทางไกลออกมาจากบ้านนั่นเอง”

นั่งรถไฟไปตู้เย็น, นิ้วกลม




Mellow tiger..


Tuesday, February 12, 2013

การเดินทางของชีวิตและความตายในงานของหม่อมเจ้าหญิงมารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร




ระหว่างเดินทางกลับบ้านในเย็นวันนี้  ก็ได้เหลือบไปเห็นป้ายนิทรรศการงานศิลปะหน้าหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ออฟฟิศเพียงคลองรอบกรุงกั้น  เมื่อเห็นชื่อนิทรรศการและศิลปินจึงไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนเส้นทางจากการกลับบ้านเป็นการเลี้ยวเข้าไปในหอศิลป์

นิทรรศการในวันนี้ชื่อ L’art de Marsi หรือ งานศิลปะของมารศี  ศิลปินเจ้าของผลงานคือหม่อมเจ้ามารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร  เหตุผลสองประการที่ทำให้ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปดูงานจัดแสดงครั้งคือ หนึ่ง ฉันชื่นชมผลงานของหม่อมเจ้าหญิงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม สอง งานของหม่อมเจ้าหญิงทำให้ฉันนึกถึงการชีวิตการทำงานที่แรกที่เคยผ่านมา


ฉันรู้จักชีวิตและผลงานของหม่อมเจ้ามารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตรเป็นครั้งแรกจากผลงานของคุณเอียด นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ซึ่งฉันเป็นบรรณาธิการให้เมื่อครั้งยังทำงานเป็นบรรณาธิการต้นฉบับ ในบทความของคุณนิพัทธ์พรชิ้นนั้น เล่าถึงความประทับใจที่มีต่อผลงานของหม่อมเจ้าหญิง  หลังจากต้องตรวจแก้ต้นฉบับ หาภาพประกอบบทความซึ่งได้แก่ภาพผลงานของหม่อมเจ้าหญิงมาตีพิมพ์ในหนังสือหลายครั้งหลายหน ฉันก็พบว่าตนเองได้แอบนิยมชมชอบงานของพระองค์ไปด้วยแล้ว  วันนี้หน้าที่การงานของฉันเปลี่ยนไป การได้เห็นป้ายนิทรรศการในวันนี้จึงทำให้คิดได้ว่าฉันเคยชอบงานของศิลปินผู้นี้และทำให้ระลึกถึงการทำงานในครั้งนั้นด้วย

หม่อมเจ้ามารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นพระธิดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรและหม่อมราชวงศ์พันธ์ทิพย์ บริพัตร(เทวกุล) ประสูติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2474 ณ วังบางขุนพรหม  หลังจากจบการศึกษาระดับมัธยมปีที่ 6 ท่านได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และประเทศสเปน  ท่านชื่นชอบงานศิลปะ มีงานของตนเองมากมาย และได้จัดแสดงผลงานในฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง  พ.ศ 2513 เสด็จไปพบเมืองเล็กๆ ชื่อ Annot บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง Nice เป็นเมืองเล็กๆในหุบเขา ก็ทรงตกหลุมรักในเสน่ห์ของเมืองแห่งนี้และตัดสินพระทัยซื้อที่ดินบนเนินเขานั้นสร้างสตูดิโอและประทับอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบัน


ภาพวาดของหม่อมเจ้าหญิงในครั้งนี้เดินทางมาไกลจากฝรั่งเศส  ภายในนิทรรศการนอกจากจะจัดแสดงประวัติของหม่อมเจ้ามารศีอย่างละเอียดแล้ว ยังได้นำผลงานภาพวาดชิ้นเยี่ยมของพระองค์มาจัดแสดงด้วย  ความรู้สึกชอบจากการได้เห็นภาพของพระองค์ในหนังสือเปลี่ยนเป็นความชื่นชมอย่างลึกซึ้งจริงใจเมื่อได้มายืนอยู่ต่อหน้าภาพจริงในวันนี้  ภาพวาดของหม่อมเจ้ามารศีเกือบทั้งหมดนั้นเป็นแนวเหนือจริง  มักเป็นภาพคน สัตว์ และกึ่งคนกึ่งสัตว์ เช่นช่วงบนเป็นหญิงสาวสวย ช่วงล่างมีขาเหมือนม้า หรือเหล่ามนุษย์ที่มีหัวเป็นหมา แมว กระต่าย นก ฯลฯ  โดยส่วนใหญ่มักเป็นภาพที่แฝงสัญลักษณ์ของเรื่องลึกลับ ตำนานปรัมปรา และแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตและความตาย

ภาพของหม่อมเจ้ามารศีมักสะท้อนให้เห็นการเดินทางมาพบกันระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกแห่งความฝัน รวมทั้งความรื่นรมย์แห่งชีวิตและความทุกข์เศร้าของการตายจาก  บางภาพเป็นภาพหญิงสาวตัวแทนแห่งการมีชีวิตเริงรำอยู่กับชายหนุ่มผู้เป็นโครงกระดูก  บางภาพชี้เห็นความงดงามของการมีชีวิต มีดอกกุหลาบโปรยลงมาประดับฉากความรื่นรมย์แต่เบื้องบนภาพนั้น ผู้ที่โปรยกลีบกุหลาบลงมาก็คือเหล่าซาตานทูตแห่งความตาย  เมื่อดูงานของหม่อมเจ้าหญิงทั้งหมดจึงจะเห็นแนวคิดที่บอกว่าทั้งชีวิตและความตายนั้นต่างเป็นส่วนผสมอย่างละครึ่งแห่งจักรวาลนี้ที่เราไม่อาจปฏิเสธได้


เดินดูงานจนหมดห้อง  รู้สึกทั้งหดหู่และประทับใจ หดหู่ต่อความจริงว่าโลกนี้มิได้มีแต่ด้านสวยงามแต่เพียงอย่างเดียว  แต่ขณะเดียวกันก็ประทับใจว่าบางครั้งความหดหู่หม่นหมองก็เป็นความงดงามอย่างหนึ่งที่เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน  เดินดูบางภาพที่ประทับใจอีกรอบด้วยความรู้สึกเต็มตื้น  วันที่หดหู่ได้รับการเติมเต็มจากการได้ดูงานเปี่ยมคุณค่า  และไม่รู้รู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าใบหน้าของคนในภาพวาดส่วนใหญ่ละม้ายพระพักตร์ของหม่อมเจ้ามารศี  คงมีส่วน, เพราะศิลปะ ท้ายที่สุดแล้วคงไม่อะไรอื่น นอกจากการเติมเต็มความแหว่งเว้าในใจของเราเอง


Patha V

Sunday, February 10, 2013

เสียงสนทนาและฉากอารมณ์คลอบทเพลงจาก Elizabethtown




"There's a difference between a failure and a fiasco. A failure is merely the absence of success. Any fool can achieve failure. But a fiasco, a fiasco is a disaster of epic proportions. A fiasco is a folk tale told to others to make other people feel more alive because it didn't happen to them." 
- Drew Baylor


สถานที่ ผู้คน และความทรงจำคือวัฐจักรเวียนวนที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันไปอย่างไม่มีจุดจบ เคยไหมที่อยู่ดีๆ ใบหน้าของเราก็ถูกประดับด้วยรอยยิ้มเมื่อเดินผ่านสถานที่ที่เคยผ่านมาหรือสบตากับผู้คนที่เคยผ่านตา มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรเลยเพราะรอยยิ้มที่เกิดขึ้นมาจากความทรงจำนั่นเอง


Elizabethtown ถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่างสถานที่ ผู้คน และความทรงจำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม มีหลายฉากที่พยายามสื่อให้เห็นกันแบบโจ่งแจ้งถึงความสัมพันธ์ที่ว่า ในขณะที่อีกหลายฉากไม่น้อยเหมือนกันที่ซ่อนเรื่องราวความสัมพันธ์เหล่านั้นไว้อย่างลึกลับ แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะเสาะหาและเข้าใจ และอีกหลายบทสนทนาที่เป็นคำพูดธรรมดาแต่เมื่อผูกรวมเข้ากับฉากในเรื่องกลับกระแทกใจอย่างไม่น่าเชื่อ





โดยส่วนตัวฉันชอบบุคลิก วิธีคิด และการใช้ชีวิตของ Claire ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องเป็นอย่างมาก Claire ทำให้ฉันรู้ว่าการเป็นคนร่าเริงไม่ได้แปลว่าไม่มีความทุกข์ การเป็นคนมองโลกแง่บวกไม่ใช่ว่าเราอ่อนต่อโลก และการใช้ชีวิตในแบบของตนเองไม่ใช่ว่าเราไม่สนใจผู้คน และสิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันมั่นใจมากขึ้นกับสิ่งที่ฉันเป็นและสิ่งที่ฉันทำ


อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นมากสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือบทเพลง ทั้งเพลงประกอบที่ออกมาถึง 2 อัลบั้มและเพลงอื่นๆ อีกหลายเพลงที่ถูกเปิดในภาพยนตร์ และฉากตอนท้ายที่ Drew ออกเดินทางไปตามแผนที่ที่ Claire นำมาให้พร้อมกับซีดีเพลง road-mix ทั้งฉากและเพลงมันช่างโดนใจเหลือเกิน




"Some music needs air. Roll down your window."
- Clair Colburn


แม้ไม่ได้มีเสียงตอบรับจากผู้ชมอย่างล้นหลามหรือแม้กระทั่งเสียงวิพากย์วิจารณ์จะเอนมาทางแง่ลบมากกว่าแง่บวก แต่ Elizabethtown คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ธรรมดาที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับฉันเลยทีเดียว







via a | b | c | d





That Original Frippo

Thursday, February 7, 2013

Season change


พี่เป็นคนขี้หนาว (ตอนอยู่ที่ไทย ถ้ากินน้ำเย็นแล้วนั่งในห้องแอร์จะนั่งสั่นตลอด) ยิ่งมาอยู่ที่นี่แล้วยิ่งไปกันใหญ่ ไปไหนมาไหนต้องพกเสื้อแจ็กเก็ตตลอด บางทีอากาศไม่หนาวเท่าไหร่(สำหรับคนที่นี่) แต่พี่ก็ใส่ถุงมือและหมวกเต็มยศ เพื่อนชาวอเมริกันเค้าเห็นพี่แล้วก็เข้าใจ เพราะว่าพี่มาจากเมืองร้อน ซึ่งหน้าหนาวของเรายังอุ่นกว่าหน้าร้อนของที่นี่อีก บางครั้งพี่ก็เล่าเป็นเรื่องตลกให้เค้าฟังว่าที่นี่มีสามฤดู Hot, Hotter และ Hottest :) เนื่องจากสภาพอากาศไม่ค่อยตรงฤดูเหมือนเมื่อก่อน หน้าหนาวตอนนี้ก็ไม่ค่อยหนาวแล้ว แถมได้ข่าวว่าปีที่ผ่านมาฝนมาตกหน้าหนาวด้วย สับสนในชีวิตกันสุดๆ

ที่อเมริกาต่างจากบ้านเราคือมีสี่ฤดู คือ Spring (มีนาคมถึงพฤษภาคม), Summer (มิถุนายนถึงสิงหาคม), Fall (กันยายนถึงพฤศจิกายน) และ Winter (ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์) แต่แต่ละรัฐก็จะต่างออกไป เช่นที่ Colorado ในช่วง Spring นั้นยังหนาวอยู่ และเดือนที่หิมะตกมากที่สุดของปีอยู่ในช่วง Spring คือปลายมีนาคมถึงเมษา แต่พอเข้าเดือนพฤษภาก็เริ่มร้อนแล้ว สามารถใส่ขาสั้น เสื้อยืดออกข้างนอกได้


Denver, CO - Fall 2011

Denver, CO - Winter 2011

Colorado เป็นรัฐที่มีอากาศหนาวเกินครึ่งปี ช่วงหนาวก็หนาวจัดแต่พอหน้าร้อนก็ร้อนแบบสุดๆ ในช่วงหน้าหนาว อากาศสูงสุดของวันจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 5 องศาเซลเซียส แต่พอหน้าร้อนก็แดดแรง และบางช่วงอากาศร้อนเกิน 30 องศาเซลเซียสติดต่อกันเป็นอาทิตย์ อีกทั้งรัฐนี้ยังขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐที่อากาศเปลี่ยนทุก 15 นาที เพื่อนพี่บอกว่า ถ้าวันไหนตื่นมาแล้วอากาศไม่ดี รอไปแค่ 15 นาทีเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง ซึ่งก็ตรงกับสภาพอากาศที่นี่มากๆ บางวันแดดออก อากาศอุ่นมากในตอนเช้า แต่พอเที่ยงลมแรง หิมะตก เม็ดใหญ่ เป็น Sticky Snow ซึ่งติดถนนทำให้ลื่น แต่พอหิมะตกไปได้ครึ่งชั่วโมงก็หยุด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แดดออกฟ้าใสแจ๋วอีกแล้ว และอีกความน่าสนใจของกาศที่นี่คือ ช่วงอุณหภูมิในแต่ละวันมีความต่างกันมาก เช่นในช่วงนี้ ตอนกลางคืนจนถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นอากาศจะตกลงไปที่ติดลบ แต่พอผ่านช่วงเที่ยงไป อากาศจะขึ้นไปสูงเกิน 10 องศาเซลเซียส เพราะการที่อากาศแปรปรวนอย่างนี้ พี่เลยต้องพยายามรักษาสุขภาพ กินวิตามินซีจะได้มีภูมิ ไม่เป็นหวัดหรือเป็นไข้ง่ายๆ


On Campus - Nov, 2011

Downtown Denver - Winter 2011


พี่มีความสัมพันธ์กันหน้าหนาวของที่นี่แบบ Love-hate relationship ช่วงที่เรา(พี่และฤดูหนาว)รู้จักกันใหม่ๆ พี่รู้สึกตื่นเต้นและชอบหน้าหนาวมาก เพราะพี่ได้สนุกสนานกับการ Mix and Match ได้ใส่ผ้าพันคอ ถุงมือ และเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ๆ รู้สึก(ไปเอง)ว่าตัวเองดูตัวกลมๆ น่ารัก แถมจะใส่เสื้อโทรมหรือจะกินเยอะ พุงออกขนาดไหน ก็ไม่มีใครรู้เพราะใส่เสื้อกันหนาวคลุมไว้ ^^" และพอหิมะตก ทุกอย่างดูขาวสวยไปหมด ได้ไปขึ้นภูเขาเล่นสกีอีกด้วย แต่พอพี่เริ่มขับรถ ความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มไปในด้านลบ หิมะที่ตกลงมาทำให้ถนนลื่น ควบคุมรถได้ยากและถ้าเราขับบนถนนที่เป็นน้ำแข็ง ถ้าเบรคไม่นิ่งหรือยางไม่เกาะถนนก็มีโอกาศที่รถจะปัด เวลาขับช่วงหิมะตกพี่รู้สึกเหมือนตัวเองต้องกลั้นหายใจ ตั้งสมาธิกับการขับรถมากๆ …ถึงฤดูหนาว.. เธอสวยแต่รูป แต่บางครั้งก็จูบไม่หอมนะเธอ - -"
 

แล้วอาทิตย์หน้าพี่จะเล่าเรื่องมาจากไทย... ได้กลับบ้านซักที :)


Mellow tiger..

Tuesday, February 5, 2013

To Nakhon Phanom With Love (1)



เราเริ่มต้นทริปแรกของปี ๒๕๕๖
ด้วยทริปจังหวัดนครพนม
คราวนี้แตกต่างจากหลายๆทริปที่ผ่านมา
เพราะเป็นการเดินทางไปเที่ยวเอง ไม่ได้ไปทำงาน

นครพนมเป็นเมืองที่ไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน
แต่เมื่อไปถึงกลับประทับใจทุกสิ่งทุกอย่าง
มองไปทางไหนก็มีแต่เรื่องแปลกใหม่และน่าสนใจ

วันนี้ขอนำเที่ยวนครพนมด้วยภาพค่ะ
ส่วนสัปดาห์หน้าจะมานำเที่ยวด้วยตัวอักษรนะคะ

หวังว่าจะรอติดตามกันต่อไป


บ้านเรือนเก่าในตัวเมืองนครพนม



แม่น้ำโขงยังสวยเหมือนเดิม ไม่ว่าจะมองจากที่ไหน



พิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าหลังเก่า สีสวยมาก ชอบมาก



โบสถ์นักบุญอันนา บรรยากาศดีทีเดียว



พระธาตุพนม ยิ่งใหญ่เหลือเกิน



เด็กๆกินมันแกวกันอย่างเอร็ดอร่อย



สวนผักที่บ้านลุงโฮ



ริมทางที่ อ.ธาตุพนม

Sunday, February 3, 2013

เสียงในอดีตและฉากปัจจุบันจากรวันดา




ไม่มีอีกแล้วกับเสียงปืนลั่นหรือเสียงกรีดร้องที่เคยได้ยินในอดีต เพราะนี่คือฉากชีวิตจริงของชาวรวันดาในปัจจุบัน

หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อปี 1994 ได้ยุติลง รัฐบาลรวันดาเริ่มให้ความสนใจกับการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าประเทศพร้อมกับคำโฆษณาที่ว่า "The land of a Thousand Hills" และเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งเมื่อนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปรวันดามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี




ภาพยนตร์เรื่องเดิม กาลเวลาหมุนเปลี่ยน ความเป็นไปเอนเอียง ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว เหตุการณ์นองเลือดระหว่างประชาชนในประเทศทำให้ฉันได้มีโอกาสกลับไปดูภาพยนตร์เรื่อง Hotel Rwanda อีกครั้ง คงเป็นเพราะฉันเห็นความเป็นไปในประเทศที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรวันดาเมื่อปี 1994 แม้จะไม่ได้รุนแรงเท่าแต่ฉันก็เชื่อว่ากว่าเหตุการณ์พันธุฆาตในรวันดาจะเกิดขึ้นก็ใช้เวลาสะสมเรื่องราวความคับแค้นเกลียดชัดมานานหลายปี เมื่อได้กลับมาดูอย่างจริงจังอีกครั้งในวันฟ้าหม่นวันนั้น ฉันเห็นรายละเอียดปลีกย่อยถึงเรื่องราวความเป็นมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ชัดเจนมากขึ้น เข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครที่พยายามสื่อออกมาได้ดียิ่งขึ้น

ณ ปัจจุบัน ความชิงชังระหว่างคนในชาติทั้งในประเทศรวันดาและไทยอาจจะถูกทอนลงมาได้บ้างแล้ว แต่ฉันก็ยังคงเชื่อว่าลึกๆ แล้วความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้นก็ยังคงอยู่ เหมือนแผลเป็นที่คอยย้ำเตือนให้เราจดจำไว้ว่าวันหนึ่งเราเคยเจ็บปวดมามากน้อยเพียงใดกว่าจะก้าวผ่านช่วงชีวิตที่ตกต่ำในวันนั้นมาได้

Tagline หนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Hotel Rwanda เขียนไว้ว่า "When a country descended into madness and the world turned its back, one man had to make a choice." ฉันก็ได้แต่หวังว่าประเทศของเราจะมี one man สักคนที่ซื่อสัตย์และมีความกล้าเพียงพอที่จะเข้ามาปกป้อง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และปลุกปั้นให้ไทยกลับมาเป็นไทจากการหลงอำนาจ หลงบารมีได้ในสักวันหนึ่ง





via a





That Original Frippo